
กกร.ประเมินทรัมป์ขึ้นภาษีคืนนี้ (2 เม.ย. 2568) จับตาอุตสาหกรรมส่งออกทั้งอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี ของไทยโดนหมด เสี่ยงทำ GDP ปี 2568 ร่วง 0.2-0.6% หมดหวังแตะตามเป้าที่คาดอยู่ในกรอบ 2.4-2.9%
นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโสสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ได้ยกระดับขึ้น สหรัฐดำเนินนโยบายการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง นโยบายสำคัญที่เตรียมจะประกาศใช้ คือ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และภาษีศุลกากรเฉพาะสินค้า (Specific Tariffs) ซึ่งคาดว่าจะกระทบประเทศคู่ค้าและสินค้าเป็นวงกว้าง
โดยเฉพาะกับประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐในระดับสูง โดยอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้จะขึ้นอยู่กับส่วนต่างระหว่างภาษีศุลกากรที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสหรัฐ กับอัตราที่สหรัฐเรียกเก็บ
ดังนั้น คืนนี้ (2 เม.ย. 2568) ทุกฝ่ายต้องจับตามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่จะกระทบส่งออกของไทย เพราะไทยถือเป็นประเทศเป้าหมายหนึ่ง เนื่องจากมีส่วนต่างอัตราภาษีศุลกากรและการเกินดุลกับสหรัฐอยู่ในระดับสูง ธุรกิจอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี ของไทยอาจเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ในสัดส่วนสูง อาจเกิดปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงขึ้น รวมถึงสินค้าจากสหรัฐ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาการค้า
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ GDP ปี 2568 ต่ำกว่าที่เคยคาด จากกรอบประมาณการเดิมอยู่ในช่วง 2.4-2.9% ซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบบางส่วนจากมาตรการภาษีของสหรัฐไว้แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนถึงขนาดและขอบเขตของมาตรการภาษีของสหรัฐ ที่จะประกาศในคืนวันนี้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อ GDP เพิ่มขึ้นอีกราว 0.2-0.6%
ดังนั้นเศรษฐกิจไทยยังอาจถูกกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวได้ช้าและเหตุการณ์แผ่นดินไหว ไทยเองจึงต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน โดยเร่งดำเนินการคือ 1.นโยบายระยะสั้น มุ่งลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนภายนอก ปรับกรอบนโยบายมหภาคให้เอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และ 2.นโยบายระยะยาว มุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านต่าง ๆ และยกระดับขีดความสามารถภาครัฐ กกร. จึงประเมินว่า GDP จะอยู่ที่ 2.4-2.9% ส่งออกอยู่ที่ 1.5-2.5% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8-1.2%
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึง Moment of Opportunity ในการสร้างความเชื่อมั่นท่ามกลางความไม่แน่นอนรอบด้าน จากทั้งเรื่องของสงความการค้า และเหตุแผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้น ด้วยการร่วมกันบูรณาการความร่วมมือ ทั้งในส่วนกระบวนงานของส่วนราชการและองค์กรภาคเอกชนที่ควรมีการปฏิรูป ที่ต้องให้ความสำคัญกับการมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ประกอบการพิจารณาแผนการรับมือและการจัดการกับปัญหา
และควรใช้โอกาสนี้สำรวจความปลอดภัยของอาคารและสิ่งปลูกสร้างจากเหตุแผ่นดินไหว เปิดเผยข้อมูลการสำรวจอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน รวมถึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ที่ประชุม กกร. มีความกังวลต่อนโยบายการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ที่มีแนวคิดจะผลักภาระต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติไปให้ภาคอุตสาหกรรม เพื่อทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง ซึ่งนโยบายดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ราคาก๊าซภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้นการปรับโครงสร้างราคาพลังงานจึงควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ และผลกระทบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล และต้องพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโครงสร้างพลังงาน ไม่ใช่การโยกตัวเลขหรือผลักภาระต้นทุนพลังงานไปให้อีกภาคส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ขอให้พิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระต้นทุนกับการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง