
ผู้ส่งออกข้าวร้องจ๊าก ส่งออกลดฮวบ 30% หวั่นเวียดนามแซงชิงที่ 2 ของโลก ขณะที่ผวาต้องแบกต้นทุนขนส่ง หลังทรัมป์เรียกเก็บภาษีขนส่งทางเรือที่ต่อโดยจีน ซึ่งเป็นรายใหญ่มีสัดส่วน 80%
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สำหรับการส่งออกข้าวไทยภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศผู้ส่งออกนั้น ต้องยอมรับว่าผู้ส่งออกมีความกังวลที่สหรัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าข้าว แต่ทั้งนี้ ผู้ส่งออกก็ยังกังวลประเด็นต้นทุนด้านขนส่งไปสหรัฐด้วย จากกรณีที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าที่ขนส่งทางเรือที่เป็นเรือสร้างในจีนด้วย ที่จะมีผลในเดือนตุลาคม 2568 นี้ ซึ่งมองว่าจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก เพราะจีนถือเป็นแหล่งต่อเรือขนส่งรายใหญ่มีสัดส่วนถึง 80%
“หากมีการบังคับใช้จริงจะมีต้นทุนขนส่งที่เพิ่มขึ้นอีกตันละ 6 เหรียญ ตอนนี้ข้าวหอมมะลิไทยไปสหรัฐเก็บ 10% ยังขายในราคา 1 พันเหรียญสหรัฐ หากบวกขนส่งก็จะเป็น 1.006 พันเหรียญ หากภาษีนำเข้าเพิ่มอีก ราคาข้าวหอมมะลิไทยจะแพงมาก แข่งขันยาก ซึ่งทรัมป์ 2.0 การค้าและการส่งออกทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมือ ทั้งรัฐบาลและเอกชน “ ร.ต.ท.เจริญกล่าว
ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สำหรับการส่งออกข้าวไทยช่วงไตรมาสแรก 2568 มีปริมาณ 2.1 ล้านตันข้าวสาร ลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากข้าวขาว 15% ลดลงถึง 53% ผลจากอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้ง รวมถึงประเทศนำเข้าหลักเช่นฟิลิปปินส์ยังไม่ได้นำเข้า ซึ่งปีก่อนทั้งปีนำเข้าถึง 4 ล้านตัน คาดว่าปีนี้จะเหลือ 1 ล้านตัน
ในส่วนนี้ไทยยังต้องแข่งขันกับอินเดียและเวียดนามที่มีราคาต่ำกว่าไทยด้วย โดยเฉพาะราคาข้าวอินเดียถูกกว่าไทยกว่า 40 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้หลายประเทศสนใจหันไปซื้อแทนไทย อาทิ แอฟริกาใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ทั้งที่ไทยมีปัจจัยหนุนเรื่องราคาตกกว่าปีก่อน อย่างข้าวขาวปีก่อนเฉลี่ย 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 400 เหรียญสหรัฐเศษ
“แม้ราคาข้าวไทยจูงใจประเทศนำเข้าซื้อเพิ่มก็ตาม แต่อินเดียกับเวียดนามก็ส่งออกได้มากกว่าไทย ไทยส่งออกได้ 2.1 ล้านตัน อินเดียส่งออกแล้ว 2.4 ล้านตัน ทั้งปีนี้คาดว่าอินเดียจะส่งได้เกิน 20 ล้านตัน เวียดนามส่งออกแล้ว 2.3 ล้านตัน มีโอกาสสูงที่ปีนี้เวียดนามจะแซงขึ้นเป็นอันดับสองประเทศผู้ส่งออกข้าวโลก แทนไทยที่อาจตกไปเป็นอันดับสาม“ นายชูเกียรติกล่าว
นายชูเกียรติกล่าวว่า ทิศทางส่งออกข้าวไทยในไตรมาส 2/2568 โดยรวมยังเงียบ และคาดว่าตัวเลขส่งออกใกล้เคียงไตรมาสแรก อย่าไรก็ตาม สมาคมยังคงเป้าหมายส่งออกข้าวทั้งปีนี้ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน ซึ่งจะทบทวนอีกครั้งช่วงกลางปี โดยปัจจัยที่ต้องจับตาและมีผลต่อการส่งออกข้าวจากนี้ ได้แก่
1.สถานการณ์นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
2.ตลาดจีน หลังราคาข้าวขาวไทยลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบราคาข้าวในจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ เริ่มทำให้จีนเพิ่มนำเข้ามากขึ้น ก็จะทดแทนปริมาณข้าวที่ลดลงได้ แต่ไทยยังต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน
3.ตลาดสหรัฐตอนนี้ตื่นตัวเพิ่มนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทย เพื่อซื้อเป็นสต๊อก ตุนไว้ก่อน หลังทรัมป์เลื่อนเก็บภาษีนำเข้าจากไทยอัตราต่างตอบแทนที่ 36% ไป 90 วัน ซึ่งตอนนี้ไทยถูกเก็บ 10% จึงเป็นสิ่งจูงใจให้ซื้อเพิ่มไว้ก่อน ซึ่งหลังสงกรานต์จะรู้ว่าสหรัฐเพิ่มสั่งซื้ออีกเท่าไหร่ เพราะต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงสหรัฐภายใน 1 เดือน
“จากที่พูดคุยผู้ส่งออกไปสหรัฐ บอกได้ว่าผู้นำเข้าสอบถามราคามาตลอด 1-2 สัปดาห์นี้จะชัดเจนว่าสหรัฐนำเข้าเพิ่มอีกเท่าไหร่ ซึ่งปีหนึ่งสหรัฐนำเข้าข้าวหอมจากทั่วโลก 1.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้นำเข้าจากไทย 6.3 แสนตัน ซึ่ง 3 เดือนแรกส่งออกไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ในราคาเฉลี่ย 1 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน รวมข้าวชนิดอื่นสหรัฐจะนำเข้าจากไทย 8.3 แสนตัน ที่เรากังวลคือหากสหรัฐปรับภาษีนำเข้าข้าวไทยเป็น 20-25% หรือ 36% ราคาข้าวหอมจะพุ่งถึง 1.2-1.3 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน แข่งขันก็จะยากขึ้น “นายชูเกียรติกล่าว