ข้าวหอมมะลิไทยเสี่ยง ส่งออกไปสหรัฐปี 2568 คาดลดลง

ผู้ส่งออกข้าวไทยชี้ข้าวหอมมะลิไปตลาดสหรัฐยังไปได้ หากเก็บภาษีใหม่ ผู้นำเข้าจะต้องรับผิดชอบ แต่ทั้งปี 2568 คาดส่งออกลดลงจากภาษีและค่าเงินบาทที่แข็งค่า

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าตลาดสหรัฐถือว่าเป็นตลาดส่งออกสำคัญข้าวหอมมะลิของไทย โดยปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไปอยู่ที่ 650,000 ตัน โดยในปี 2568 นี้คาดว่าการส่งออกจะลดลง เนื่องจากปัญหาการเก็บอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ แม้ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการขยายระยะเวลาเลื่อนเก็บภาษี ทำให้ภาษีข้าวของไทยที่ส่งออกไปเก็บอยู่ที่ 10%

และขณะนี้แม้จะใกล้ครบกำหนดระยะเวลาแล้ว แต่การส่งออกข้าวของไทยยังมีคำสั่งซื้อและส่งออกผ่านการขนส่งทางเรืออยู่ แต่คำสั่งซื้อก็ชะลอลง และยิ่งจะเห็นภาพชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปีนี้

“สินค้าที่ลงเรือไปแล้วหากไปถึงสหรัฐเลยระยะเวลาที่สหรัฐประกาศเลื่อน ผู้ส่งออกข้าวได้มีการเจรจาพูดคุยกับคู่ค้าแล้ว ว่าภาษีดังกล่าวที่สหรัฐ หากมีการเรียกเก็บผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งก็ได้มีการเจรจาตกลงเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น จึงเห็นว่าสินค้าข้าวไทยยังคงมีการส่งออกไปอยู่ แต่อาจจะลดลง”

นอกจากนี้ ยังมองว่าการเก็บภาษีในสินค้าข้าวของไทยแม้จะเลยระยะเวลา การเลื่อนเก็บภาษีก็ยังมองว่ายังเก็บอยู่ที่ 10% เพราะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าหากเลยแล้วสหรัฐจะมีการประกาศเก็บภาษีใหม่ทันทีหรือไม่ และนอกจากนี้ยังต้องติดตามดูการเจรจาการเก็บภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐอยู่อีก ทั้งหากมีการขยับอัตราภาษีใหม่จะเป็น 20-25% มองว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทยในทันที

โดยต้องยอมรับว่าราคาข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิยังสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม โดยราคาข้าวหอมมะลิไทยในตอนนี้อยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวหอมเวียดนามอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งมีช่องว่างของราคาที่ห่างกันมาก แม้ว่าภาษีของเวียดนามจะยังสูงกว่าไทย แต่เมื่อดูราคาข้าวไทยแล้วก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยปัจจัยหลักยังเป็นผลกระทบมาจากค่าเงินบาทของไทยที่ยังคงแข็งค่าอยู่