ดันจีทูจีข้าว 3 แสนตัน ลุยเจรจาคอฟโกแตกลอตเล็ก ไร้ข้อสรุปจีทูจีข้าว 3 แสนตัน ลากยาว

ปี”63 “พาณิชย์” ลุยเจรจาคอฟโก เปลี่ยนเงื่อนไขหั่นขายลอตเล็ก ชี้ปัจจัยเสียงสต๊อกจีนล้น-บาทแข็งกระทบหนัก เตรียมโรดโชว์ตลาดใหม่

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรมได้เดินทางไปเจรจากับรัฐวิสาหกิจจีน (คอฟโก) ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ถึงแนวทางการทำสัญญาส่งมอบข้าวในสัญญารัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ระหว่างไทยและจีน ที่ยังคงเหลืออีก 3 แสนตัน ซึ่งยังเหลืออีก 3 ครั้งตามสัญญาที่กำหนดให้มีการส่งมอบลอตละ 80,000-100,000 ตันแต่ภายหลังจากราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับจีนมีสต๊อกข้าวเก่าค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ทางฝ่ายไทยขอความร่วมมือให้จีนพิจารณาซื้อให้ครบตามสัญญาที่ยังค้างอยู่ และเสนอให้เปลี่ยนแปลงในรายละเอียด เช่น ปรับลดปริมาณซื้อขายในสัญญาลอตละ 20,000-30,000 ตัน แทนจากเดิมที่กำหนด 80,000-100,000 ตัน และอาจจะเปลี่ยนชนิดข้าวเป็นข้าวหอมปทุมธานีแทน

“เรามองว่าการปรับสัญญาเป็นไซซ์เล็กจะทำให้ขายได้ราคาดีกว่าลอตใหญ่ เพราะปัจจุบันค่าบาทแข็ง ราคาเราแพงกว่า ทำให้ลูกค้ากังวล เช่น ถ้าเป็นข้าวไทย-เวียดนามต่างกัน 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน ก็ไม่อยากซื้อ และถ้าเปลี่ยนชนิดเป็นข้าวหอมปทุมแทนหอมมะลิ อาจจะได้ราคาที่เหมาะสม ทางคอฟโกรับทราบในหลักการและเตรียมจะเสนอทางรัฐบาลพิจารณา เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญา ส่วนการกำหนดราคาซื้อขายแต่ละลอตยังต้องมาหารือกันอีกรอบ คาดว่าจะได้ข้อสรุปหลังตรุษจีนมาคุยอีกครั้ง เพราะตอนนี้ทางจีนปิดดีลซื้อข้าวเก็บเข้าในสต๊อกตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. เพื่อใช้สำหรับตรุษจีนแล้ว”

นายกีรติกล่าวว่า การส่งออกข้าวในปีนี้ คาดว่าจะมีปริมาณ 8 ล้านตัน ส่วนแนวโน้มปีหน้าอาจจะพิจารณาเป้าหมายใหม่อีกครั้ง หลังผ่านเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว สำหรับกรณีการตกลงจีทูจีล่าช้านั้นจะไม่ส่งผลกับตลาดในช่วงนาปรัง 2562 เพราะประเด็นนี้คงเป็นปัจจัยเสี่ยงลำดับรองหากเทียบกับปัจจัยค่าบาทที่ส่งผลให้ราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้น

“ปีนี้น่าจะถึง 8 ล้านตัน ต่ำกว่าเป้าหมายอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้เกินคาดหมาย ปีหน้าก็มีความเสี่ยงจะเหนื่อยหนักกว่านี้ เพราะยังคงมีปัจจัยหลักจากค่าบาทแข็ง หลายฝ่ายมองว่าอาจหลุด 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทางกรมจะต้องทำแผนผลักดันการส่งออกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเรามีแผนจะผลักดันการส่งออกไปตลาดใหม่ที่ควรไป แต่ต้องยอมรับว่าคนทานข้าวก็เป็นตลาดเดิม เพียงแต่อาจจะสามารถรุกตลาดข้าวชนิดใหม่เพิ่มสัดส่วนมากขึ้น แต่คงไม่ได้รวดเร็วนัก ปีหน้าข้าวขาวยังเป็นสินค้าชูโรงหลักของไทย ถ้าหากบาทแข็งค่าไปอีกก็ต้องประเมินผลกระทบอีกครั้ง จะกระทบสินค้าส่งออกทุกอย่าง”

อย่างไรก็ตาม ต้องขอทำความเข้าใจว่า มติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวตามกรอบเดิมหมดไปลักษณะปีต่อปี เมื่อมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทางกรมจะต้องเสนอกรอบหลักการระบายข้าว เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ ซึ่งในรายละเอียดไม่ได้แตกต่างจากแบบเดิมที่เคยดำเนินการในช่วงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลย มีประเด็นที่เพิ่มเติมเข้ามาตามความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งทั้งหมดผ่านการพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

“ในส่วนของคอมเมนต์ ป.ป.ช. ทาง ครม.แจ้งมาว่า การทำจีทูจีต้องเป็นลักษณะนี้ ไม่ใช่การเปลี่ยนเงื่อนไข ตอนนี้ไม่มีข้าวในสต๊อกแล้วไม่รู้จะเอาข้าวไปจากไหนก็ต้องใช้ข้าวเอกชน เป็นการเขียนกรอบกว้าง ๆ ให้ครบทุกซีนาริโอ ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไม่ได้เขียนก็จะต้องเข้าใหม่ ดังนั้น เราก็ต้องเขียนให้สะดวกระบุว่า เจรจาจีทูจีต้องมอบหมายอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเจรจา ลงนามในสัญญา ในการเห็นชอบ ขั้นตอน กรอบการเจรจา การลงนามในสัญญา ไม่ใช่เอาข้าวมาวน”

ส่วนแนวทางการขายข้าวด้วยวิธีการอื่น เช่น การทำการค้าแลกเปลี่ยน หรือบาร์เตอร์เทรดที่มีผู้ส่งออกบางรายเห็นว่าควรทำนั้น นายกีรติมองว่า วิธีการนี้สามารถทำได้ระดับเอกชน-เอกชน เพราะรัฐบาลทำไม่ได้ ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับในส่วนนี้ ซึ่งวิธีนี้ก็ต้องกลับไปดูราคาอยู่ดี ว่ากำหนดอย่างไรจะสมน้ำสมเนื้อ สำหรับแผนโรดโชว์ในปีหน้า กรมจะร่วมคณะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางเยือนอินเดีย ระหว่างวันที่ 15-16 มกราคม


โดยมุ่งเป้าจะไปเปิดตลาดสินค้าเกษตรในเมืองรองเช่น ยางพารา ไม้ยาง และแป้งมัน นอกจากนี้ ทางท่านรัฐมนตรีต้องการเร่งผลักดันให้ส่งมอบสินค้าตามที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ไป ในส่วนการส่งมอบทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะเป็นผู้ติดตาม แต่ต้องเป็นไปตามระยะเวลาส่งมอบตามสัญญาของเอกชนแต่ละราย ซึ่งอาจจะไม่ใช่การส่งมอบในคราวเดียว แต่ทอดเวลาเพื่อจัดหาสินค้าและทยอยส่งมอบตามที่ 2 ฝ่ายกำหนด