ส่งออกถุงมือยางไปจีนโต192% ส.ยางพาราจี้รัฐยกระดับ “วาระแห่งชาติ”

โควิด-19 ฉุดยอดส่งออกถุงมือยางไปจีน2 เดือนแรก ทะลุ 192% “สมาคมยางพาราฯ” เสนอรัฐกำหนดเป็นวาระแห่งชาติน้ำยางข้น หวังยกระดับโรงงานผลิตถุงมือแข่งมาเลเซีย รองรับการใช้เพิ่มขึ้นในอนาคต คาดปี 2563 เพิ่ม 10% ทะลุ 3.3 แสนล้านชิ้น

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ผลพวงจากการระบาดของโควิด-19ในภาพรวมการส่งออกถุงมือยางของไทยในช่วง 2 เดือนแรก 2563 มีมูลค่า6,355 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.97% โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 2 สัดส่วน 6.46% มีอัตราเติบโตถึง 192% คิดเป็นมูลค่า 410.67 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ผู้ส่งออกที่ส่งออกมากที่สุด คือ บริษัท คาร์ดิแนล เฮลท์ 222 (ประเทศไทย), บริษัท เซฟสกินเมดดิคอล แอนด์ ไซเอนทิฟิก(ประเทศไทย), บริษัท แอนเซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เมอร์กาโต้ เมดิคัล (ไทยแลนด์) จำกัด

สอดคล้องกับนายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหารและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง บริษัท ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA กล่าวว่าแนวโน้มตลาดถุงมือยางโลกปี 2563 มีโอกาสจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จาก 3 แสนล้านชิ้น เป็น 3.3 แสนล้านชิ้น ผลจากความต้องการถุงมือยางสำหรับใช้ทางการแพทย์หลังจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงความต้องการใช้ในทุกอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยเพราะเป็นเรื่องไฮจีนิก ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน หรือบริษัททั่วไปก็ใช้ถุงมือทั่วไป จะมีการเปลี่ยนถุงมือบ่อยขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้นมาก ทางศรีตรังฯได้รับออร์เดอร์ และเพิ่มกำลังการผลิต 100%

“หลังจากรวมกับไทยกองเราผลิตถุงมือได้ 28,000 ล้านชิ้น ปัจจุบันเราขยับจากอันดับ 5 เป็นอันดับ 3 ของโลก กำลังผลิตได้ถึง 30,000 ล้านชิ้น หรือมากสุด 33,000 ล้านชิ้น แต่ด้วยช่วงห่างระหว่างอันดับ1-2 ค่อนข้างห่างมาก ยิ่งถ้าเบอร์ 1 ใช้เวลา 10-15 ปี มีโอกาสแซงทัน”

นายวรเทพ วงศาสุทธิคุณ อุปนายกสมาคมยางพาราแห่งประเทศไทย กล่าวว่าสถานการณ์โควิดส่งผลดีต่อกลุ่มผู้ส่งออกน้ำยางข้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยาง แม้ว่าปัจจุบันจะสามารถใช้ยางสังเคราะห์ได้ แต่ยางธรรมชาติยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างมาเลเซียที่หันพึ่งพาวัตถุดิบน้ำยางข้นจากไทย เพื่อผลิตถุงมือยางส่งออกในกลุ่มเวชภัณฑ์รายใหญ่ของโลก เรื่องดังกล่าวอยากให้รัฐบาล “กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ”

เข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนไทยอย่างจริงจัง เพื่อให้ผลิตถุงมือยางที่สามารถแข่งขันกับมาเลเซียให้ได้ เพราะไทยมีวัตถุดิบพร้อมอยู่แล้ว อยากให้กำหนดมาตรการส่งเสริมการใช้ถุงมือจากยางธรรมชาติมากขึ้น เพราะย่อยสลายได้ง่าย

“ปัญหาโควิดส่งผลต่ออุตสาหกรรมยางทั้งบวกและลบ โดยผลกระทบทางลบกับกลุ่มผู้ผลิตยางแผ่นและยางแท่งที่นำไปใช้ผลิตยางล้อ เมื่อโควิดทำให้ธุรกิจการขนส่งหยุดชะงัก และโรงงานผลิตรถยนต์ปิด ความต้องการใช้ก็ลดลง เรื่องนี้ต้องติดตาม สถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าหลังจากนี้ทั่วโลกจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ทั้งนี้ ปัจจุบันการผลิตถุงมือยางมีสัดส่วนเพียง 35% เท่านั้น จากเดิมการผลิตถุงมือยางธรรมชาติมีสัดส่วนถึง 80% ถุงมือจากยางสังเคราะห์ 20%

นายสุเทพ เดชานุรักษ์ อุปนายกสมาคมน้ำยางข้นไทย กล่าวว่า การส่งออกน้ำยางข้นไปมาเลเซียแต่ละเดือนสูงถึง5 หมื่นตัน หรือ 55% ของการส่งออกน้ำยางข้นของไทย 1.1 แสนตันต่อเดือน การปิดประเทศจึงส่งผลให้สต๊อกน้ำยางของมาเลเซียขาดแคลน ขณะที่ออร์เดอร์ถุงมือยางของไทยทุกโรงงานมีเต็มยาวถึงสิ้นปี และทุกโรงงานต้องเพิ่มกำลังการผลิตเต็มที่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลสนับสนุนการปรับปรุงโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตให้ไทยมีศักยภาพ สามารถแข่งขันกับมาเลเซียให้ได้ เพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตที่คาดว่าความต้องการใช้ถุงมือยางจะมีมากขึ้นแน่นอน สังเกตได้จากอัตราการใช้ถุงมือยางต่อคนในแต่ละประเทศ อาทิ สหรัฐ 75 คู่ต่อคนต่อปี จีน 5 คู่ต่อคนต่อปี ส่วนอินเดีย 2 คู่ต่อคนต่อปีเท่านั้น

นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากโควิดระบาดในมาเลเซีย และประกาศปิดประเทศส่งผลต่อการขนส่งยางพาราผ่านเส้นทางบกไปยังมาเลเซีย เพื่อไปลงที่ท่าเรือปีนัง ทำให้การส่งออกของไทยหยุดชะงัก แต่เนื่องจากมาเลเซียเป็นผู้ผลิตถุงมือยางมากที่สุดในโลก การปิดประเทศทำให้วัตถุดิบน้ำยางข้นขาดแคลน เพราะทั้งหมดต้องนำเข้าจากไทยเป็นหลัก ปัจจุบันมาเลเซียได้ยอมเปิดด่านนำเข้าให้กับไทยแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะเร่งการส่งออกให้มากขึ้น การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จึงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการดังกล่าว

“ความต้องการน้ำยางข้นที่มากขึ้น ฟังดูเหมือนไทยมีอำนาจต่อรองด้านราคา แต่ในภาพรวมต้องดูราคาในตลาดประกอบด้วย แต่ถ้าทุกภาคส่วนช่วยกันคิดว่า ที่สุดแล้วไทยจะกำหนดราคายางได้”

นายขจรจักษณ์ นวลพรหมสกุล รักษาการผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า โอกาสการส่งออกน้ำยางถือเป็นโอกาสในวิกฤต แต่เพื่อให้ราคายางมีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน รัฐบาลพยายามเพิ่มปริมาณการใช้ในประเทศให้มากขึ้น จากเดิมที่มีการใช้อยู่ 6 แสนตัน เพิ่มเป็น 8 แสนตัน ถือว่าประสบผลสำเร็จ แต่เป้าหมายปี”63 อยากให้เพิ่มการใช้ในประเทศเป็น 1 ล้านตัน ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปได้ และจะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไปเพราะเป็นทางเดียวที่ไทยจะสามารถบริหารจัดการราคายางในประเทศได้