ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่ ครึ่งปีแรก 2563 ลดลง 13% แม้ มิ.ย. โตขึ้น

ภาพ: AFP/LILLIAN SUWANRUMPHA

กรมพัฒฯ เผยสถิติจดทะเบียนธุรกิจครึ่งปีแรก 2563 ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่เดือนมิถุนายน มีธุรกิจจดทะเบียนใหม่เพิ่ม 3% โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง ทำให้ภาพรวม 6 เดือนล่าสุด โตขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2562

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยผลการจดทะเบียนธุรกิจ ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนมิถุนายน 2563 พบว่า จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 5,731 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3% ซึ่งมีจำนวน 5,586 ราย เป็นผลมาจากการเติบโตจากภาคค้าปลีก-ค้าส่ง

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 612 ราย คิดเป็น 11% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 271 ราย คิดเป็น 5% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร จำนวน 188 ราย คิดเป็น 3%

สำหรับช่วงครึ่งปีแรก 2563 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศครึ่งปีแรก 2563 จำนวน 33,337 ราย เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2562 จำนวน 38,222 ราย ลดลงจำนวน 4,885 ราย คิดเป็น 13% ขณะที่เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลัง 2562 (ก.ค.-ธ.ค.) จำนวน 33,263 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 74 ราย คิดเป็น 0.2%

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 3,394 ราย คิดเป็น 10% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,665 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร จำนวน 932 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ

ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมิถุนายน 2563 จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนมิถุนายน 2563 มีจำนวน 1,336 ราย เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับข่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมี 1,264 ราย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 111 ราย คิดเป็น 8% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 69 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ จำนวน 36 ราย คิดเป็น 3% ส่วนการจดทะเบียนเลิกครึ่งปีแรก 2563 (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวน 6,227 ราย ลดลง 7% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมี 6,667 ราย

ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนมิถุนายน 2563 ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 63) ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 765,775 ราย มูลค่าทุน 18.44 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 186,682 ราย คิดเป็น 24.38% บริษัทจำกัด จำนวน 577,822 ราย คิดเป็น 75.46% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,271 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ

บริษัทต่างด้าวลงทุนเพิ่ม 5.8 หมื่นล้านบาท

นายวุฒิไกร กล่าวอีกว่า การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนมิถุนายน 2563 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 56 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 22 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 34 ราย โดยมีนักลงทุนต่างชาติลงทุนเพิ่มขึ้น 11 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (พ.ค.63) 24% และมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 11,401 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2563 จำนวน 87 ล้านบาท คิดเป็น 0.77%

นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 386 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 5 ราย เงินลงทุน 623 ล้านบาท และจีน จำนวน 2 ราย เงินลงทุน 330 ล้านบาท ครึ่งปีแรก 2563 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 355 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 58,407 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่ามีจำนวนนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น 22 ราย (7%) เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 3,653 ล้านบาท (7%)

ธุรกิจที่ต่างชาติเข้ามาดำเนินการเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ และนโยบายในการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เงินลงทุนสูง อาทิ บริการขุดเจาะปิโตรเลียม บริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม และบริการให้คำปรึกษาแนะนำและตรวจสอบการทำงานของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริการออกแบบพร้อมติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ รวมทั้งซ่อมแซมบำรุงรักษาสินค้าประเภทแผงโซล่าเซลล์ เป็นต้น

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า