จับคู่ “หมู-ข้าว” ช่วยชาวนาเพิ่มรายได้ ลดต้นทุนอาหารสัตว์

“จุรินทร์” ร่วมเป็นสักขีพยาน MOU พาณิชย์จับคู่ช่วย “หมู-ข้าว” ลดต้นทุนหมู เพิ่มราคาข้าวจำนวน 50,199 ตัน มูลค่า 535 ล้านบาท ขณะที่ประกันรายได้ข้าวปี 3 คาดงวด 3 รับส่วนต่างต้นธันวาคมนี้ พร้อมมาตรการช่วยปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมข้าว GI ย้ำพืชเกษตรราคาดีเกือบทุกตัว

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างการเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ MOU โครงการพาณิชย์จับคู่ช่วย “หมู-ข้าว” ปีการผลิต 2564/65 ว่าเป็นความร่วมมือเพื่อยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น ขณะเดียว กันเป็นการช่วยผู้เลี้ยงสุกรให้สามารถลดต้นทุนการผลิต โดยโครงการนี้จะเป็นโครงการตัวอย่างที่นำข้าวกับหมูมาชนกันเพื่อประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย

“ฝ่าย 1.เอาข้าวมาขายทำอาหารสัตว์ในราคาที่เป็นธรรม หรือยกระดับราคาที่ดีกว่าการขายในตลาดปกติ 2.เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรสามารถนำข้าวคุณภาพอาหารสัตว์ราคาพิเศษมาใช้ทำอาหารสุกร เพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงสุกร เป็นโครงการที่ win-win ทั้งคู่”

โดยข้าวที่รับซื้อมีข้าว 2 ประเภท 1.ข้าวเปลือก ความชื้นไม่เกิน 15% ในราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 8 บาท และข้าวสาร ประกอบด้วย ข้าวกล้องปลายข้าวคุณภาพอาหารสัตว์และข้าวหักความชื้นที่ไม่เกิน 15% ขายในราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 11 บาท ซึ่งถือว่าช่วยลดต้นทุนมากกว่าการนำพืชเกษตรตัวอื่นมาทำอาหารสัตว์

อย่างไรก็ดี การลงนามครั้งนี้จำนวนที่รับซื้อทั้งหมด 50,199 ตัน เป็นโรงสีจำนวน 49,500 ตัน และสหกรณ์อีก 4 ราย จำนวน 699 ตัน รวม 50,199 ตัน มูลค่ารวม 535 ล้านบาท โดยเริ่มส่งตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 และตั้งเป้าหมายว่าจะไม่ขายเฉพาะ 50,000 นี้ กรมการค้าภายในจะพยายามเจรจาทำให้ได้ 150,000 ตัน

ซึ่งจะช่วยดึงราคาข้าวปลายฤดูขึ้นได้อีก สำหรับผู้ซื้อข้าว 5 ราย ประกอบด้วย 1.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป 2.ไทยรุ่งเรืองกิจการ จังหวัดนครปฐม 3.อาร์ เอ็ม ซี ฟาร์ม จังหวัดบุรีรัมย์ 4.จงเจริญฟาร์ม จังหวัดนครนายก 5.เกษมชัยฟาร์มกรุ๊ป จังหวัดนครปฐม รวมจำนวนทั้งสิ้น 50,199 ตัน

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า นโยบายประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวปี 3 มีการจ่ายเงินส่วนต่างรวมทั้งหมด 33 งวด ขณะนี้จ่ายไปแล้ว 2 งวด ส่วนงวดที่ 3-33 กำลังรอการขยายเพดานวินัยการคลังจากไม่เกิน 30% เพิ่มขึ้น คาดว่าอังคารหน้าจะมีการพิจารณา ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินส่วนต่างเข้าบัญชีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้เร็วขึ้น คาดว่าจะเห็นได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป

สำหรับมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนให้ชาวนา เช่น 1.ปุ๋ย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดโครงการปุ๋ยราคาถูกจำหน่ายให้กับกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ วิสาหกิจ ชุมชนที่เป็นรูปกลุ่ม ซึ่งจัดปุ๋ยราคาพิเศษเตรียมไว้ 4,500,000 กระสอบ ขายไปแล้ว 2,000,000 กว่ากระสอบ โดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มกันไปขอซื้อที่สหกรณ์จังหวัด สหกรณ์อำเภอ เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ

โดยขอให้เร่งช่วยกันซื้อเพราะราคาจะถูกกว่าท้องตลาด 20-50 บาทต่อกระสอบ ทั้งนี้ ตนยังได้ลงนามถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงบประมาณโดยตรงในการของบฯกลางให้มีเงินมาช่วยชดเชยปุ๋ยให้ลดราคาลงมา ซึ่งจะช่วยให้นอกจากกลุ่มเกษตรกรแล้ว เกษตรกรทั่วไปสามารถซื้อในท้องตลาดได้ โดยจะช่วยกดราคาปุ๋ยในท้องตลาดประมาณกระสอบละ 50 บาท

การช่วยเหลือด้านเมล็ดพันธุ์ ซึ่งเกษตรกรต้องการเมล็ดพันธุ์ที่ตรงตามความต้องการของตลาด โดยเฉพาะข้าวพันธุ์พื้นนุ่มได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ข้าวไทย ที่บังคับใช้แล้วตั้งแต่ปี’63-67 เป้าหมายเพิ่มข้าวพันธุ์ใหม่ 12 พันธุ์ใน 5 ปี ประกอบด้วย พันธุ์พื้นแข็ง 4 พันธุ์ พื้นนุ่ม 4 พันธุ์ ข้าวหอม 2 พันธุ์ ข้าวโภชนาการสูง 2 พันธุ์

ซึ่งคาดว่าสำหรับปีนี้จะมีข้าวพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 พันธุ์ และจะขึ้นทะเบียนเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ต่อไป และที่เกษตรกรอยากเพิ่มข้าวเป็นข้าวมูลค่าสูง ต้องการเน้นการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ขณะนี้เราส่งเสริมโดยเฉพาะข้าว GI มีอยู่ถึง 18 ตัว จาก GI ทั้งหมด 152 ตัว และยังสนับสนุนต่อไป หากพื้นที่ไหนสามารถปรับปรุงเป็น GI ได้ กระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะให้การสนับสนุนต่อไป

“ตั้งแต่ตนเข้ามาดูแล ราคาข้าวเปลือกเคยแตะ 10,000 บาท เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงนี้ไม่ปกติราคาจริงลงมา ราคาข้าวแห้ง วันนี้เกวียนละ 8,000 บาทแล้ว ไม่ใช่ 5,000 บาทอย่างที่พยายามพูดว่าซื้อมาม่าได้ซองเดียว ไม่เป็นความจริง ขอย้ำว่าพืชเกษตรราคาดีทุกตัว

โดยเฉพาะพืชที่ประกันรายได้ นอกจากข้าว ยางก้อนถ้วยก็สูงกว่ารายได้ที่ประกัน มันสำปะหลังตอนนี้ 2.60-2.80 บาท ปาล์มน้ำมันประกันที่กิโลกรัมละ 4 บาท ตอนนี้ 8-9 บาทแล้ว และข้าวโพดประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 8.50 บาท แต่ราคาตลาด 9-10 บาทแล้ว พืชเกษตรราคาตกทุกตัวไม่จริง พืชผลทางการเกษตรราคาดีเกือบทุกตัว”