บีซีพีจี เปิดแผนการลงทุน 5 ปี งบ 95,000 ล้าน สปีดยอดโต 100% ปี 2569

บีซีพีจี เปิดแผนกลยุทธ์ 5 ปี ตั้งเป้าโต 100% ทั้งด้านรายได้และกำลังการผลิต ด้วยงบลงทุน 95,000 ล้านบาท ใน 3 ธุรกิจหลัก ประเดิมปี 2565 เทงบลงทุน 30,00 ล้าน หลังผลประกอบการปี 2564 กวาดรายได้ 4,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% พร้อมเดินหน้าสู่แผนลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2030

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนกลยุทธ์ 5 ปี (2565-2569) BCPG “Running at Lightning Speed” ที่วางเป้าหมายขยายการเติบโตขึ้นร้อยละ 100 หรือเติบโตเท่าตัวจากปัจจุบัน ทั้งด้านรายได้ (Revenue) และ กำลังการผลิต (Generation Capacity) จาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยวางกรอบการลงทุน 95,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนการลงทุนปีนี้ 2565 บริษัทตั้งงบลงทุนที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท

นิวัติ อดิเรก

“ความพร้อมจากเงินลงทุนที่เรามีอยู่เดิม 65,000 ล้านบาท รวมกับเม็ดเงินที่เราจะได้รับจากการขายโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ทำให้บริษัทมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ล้านบาท เพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผน”

โดย 3 กลุ่มธุรกิจหลักของ BCPG ประกอบด้วย

1.ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

2.ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (smart energy solution) อาทิ ธุรกิจผลิต และจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือแบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต ฯลฯ

3.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (smart infrastructure) อาทิ ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะ ให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้าน พลังงานและสิ่งแวดล้อม

ซึ่งบีซีพีจีจะดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การสร้างความสมดุลในการลงทุน (Balance Portfolio) ด้วยการขยายธุรกิจทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา 2.การสร้างโอกาสเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ (Opportunity) 3.ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า (Return on Investment) 4.ต้นทุนทางการเงิน อยู่ในระดับต่ำ (Optimized Funding Cost)

“เรามีโครงการและแผนการลงทุนที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ เราได้วางแผนการลงทุนที่ต้องใช้เงินเกือบ 70,000 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ดี มีกระแสเงินสดมั่นคง แต่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อสร้างความเติบโต (Growth) ค่อนข้างนานกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ซึ่งอาจจะตอบสนองกลยุทธ์การขยายการเติบโตเราได้ไม่ทันการณ์

การขายโครงการฯ จึงเป็นการเพิ่มความสามารถในการลงทุนของเราให้มากขึ้น ทำให้ขยายการลงทุนใหม่เพื่อหารายได้มาทดแทน Adder ที่กำลังจะหมดลงได้ด้วย ทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้ตามแผนโดยไม่ต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด” นายนิวัติกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้ตกลงที่จะขายโครงการโรงไฟฟ้าในมูลค่า 440 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,600 ล้านบาท ในขณะที่โครงการมีมูลค่าทางบัญชี 12,295 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 โดยคาดว่าจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้นในโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ภายในไตรมาสที่ 1/2565

นายนิวัติกล่าวว่า ในปีนี้จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ และโคมากาเนะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City) กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์

โดยในปีนี้จะมีการนำระบบกักเก็บพลังงาน หรือแบตเตอรี่ ไปใช้ในการบริหารจัดการพลังงานที่โครงการนี้อีกด้วย รวมถึงคาดว่ามีโครงการที่เราสามารถบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการมาในปีนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับความคืบหน้าของการพัฒนาในโครงการที่สำคัญของบริษัทยังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศแถบเอเชีย และแถบอินโดจีน (Indochina) อาทิ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศสูง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนสูง เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงฟอสซิล ฯลฯ

“บีซีพีจี ตั้งเป้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไต้หวัน ด้วยกำลังการผลิต 1000 เมกะวัตต์ ใน 5 ปี ข้างหน้า ขณะที่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เรามีสิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนเพิ่มขนาด 1,000 เมกะวัตต์ และสำหรับประเทศไทยเราก็มีแผนเข้าลงทุนโดยการควบรวมกิจการในโครงการที่น่าสนใจเป็นไปตามกรอบกลยุทธ์ที่เราวางไว้”

นอกจากนี้ บีซีพีจียังได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2030 ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอน โดยตั้งเป้าปลูกป่าในประเทศไทย 1000 ไร่ ใน 2 ปี และทยอยปลูกป่าในประเทศที่เรามีโครงการฯ อีกกว่า 10,000 ไร่

ขณะเดียวกันยังเป็นหนึ่งในผู้จัดตั้ง Carbon Markets Club แพลทฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการแก้ปัญหาโลกร้อนสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกันได้ตามความสมัครใจอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการขายคาร์บอนไปแล้ว 4 ล้านบาท

ปัจจุบันบีซีพีจีมีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งหมดภายในปี 2567

ล่าสุดทางบริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement) กับ Capital Asia Investments Pte. Ltd. (CAI) (ในฐานะผู้ร่วมลงทุนกับบริษัทฯ) และกระทรวงการเงิน สปป. ลาว ในนามของรัฐบาล สปป. ลาว (GOL) การร่วมลงทุนกับ CAI ในวงเงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐในครั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนใน สปป. ลาว ผ่านวิสาหกิจถือหุ้นลาว (Lao State Holding Enterprise หรือ LHSE ) และ การให้บริการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนแก่ LHSE ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่จะตกลงกันต่อไป

โดยบริษัทฯ และ CAI อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะกิจการ (due diligence) และการเจรจาข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาหลักกับ GOL สำหรับธุรกรรมดังกล่าว และเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในงวดปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบปี 2563 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 4,231 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 2,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 1,959 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,137 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 583 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 536 ล้านบาท

“ในภาพรวมของปี 2564 บริษัทยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามกำหนด และรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 รวมทั้งบริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพแผงโซลาร์” นายนิวัติกล่าว

พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดวันที่ 1 กรกฎาคม -31 ธันวาคม 2564 หรือครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 0.17 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อรวมเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้วจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นเงินปันผลทั้งปี 0.33 บาทต่อหุ้น

กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล และเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 4 มีนาคม 2565 รายชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้รับสิทธิการจ่ายเงินปันผล และไม่ได้รับสิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 3 มีนาคม 2565 (XD และ XM) กำหนดจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลังในวันที่ 22 เมษายน 2565

ทั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 แล้ว การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 7 เมษายน 2565 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท