รัสเซีย-ยูเครน บีบค่าระวางเรือพุ่ง 5 เท่า ทุบราคาปุ๋ยอ่วม

สศก.เผย สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน บีบค่าระวางเรือพุ่ง 5 เท่า ทำราคาปุ๋นอ่วม ก.เกษตรฯ เล็งเสนอของบฯ ครม. 2.6 พันล้าน อุ้มเกษตรกร

วันที่ 16 มีนาคม 2565 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย เริ่มตระหนักถึงความมั่นคงทางอาหาร

จึงมีนโยบายลดการส่งออกปุ๋ยและเพิ่มการผลิตสินค้าเกษตรในประเทศของตนเอง ประกอบกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยรัสเซียประกาศงดการส่งออกปุ๋ยเคมี อาจทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบปุ๋ยในตลาดโลกและราคาวัตถุดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

โดยเฉพาะปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ 0-0-60 (MOP) ซึ่งรัสเซียส่งออกไปยังตลาดยุโรปประมาณปีละ 20 ล้านตัน และปุ๋ยแอมโมเนียมฟอสเฟต 18-46-0 ที่ส่งออกไปยังตลาดโลกประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ สถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติ และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นด้วย ทำให้ต้นทุนปุ๋ยแอมโมเนีย โปแตช และยูเรียเพิ่มขึ้น

โดยราคาแอมโมเนียและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไนโตรเจนได้ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีสาเหตุจากปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ค่าขนส่ง และค่าระวางเรือได้ปรับตัวสูงขึ้น 3-5 เท่าจากปีที่ผ่านมา

ADVERTISMENT

สำหรับสถานการณ์ไทย โดยไทยนำเข้าปุ๋ยประมาณ 95% เพื่อผลิตและจำหน่ายให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีปริมาณเฉลี่ย 5 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีจากรัสเซียและจีน

ได้แก่ ปุ๋ยสูตรสำเร็จรูป NPK ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมคลอไรด์ รวมกันมากกว่า 60% ของปริมาณนำเข้า ทั้งหมดสวนปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยไนโตรเจนสูตรอื่น ๆ ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศแถบตะวันออกกลางและมาเลเซีย สำหรับแอมโมเนียมซัลเฟตในประเทศไทยมี Supply 40% อีก 50% นำเข้าจากจีน และ 10% นำเข้าจากแหล่งอื่น ๆ จากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ไทยได้สั่งซื้อปุ๋ยเคมีจากรัสเซีย โดยเฉพาะปุ๋ยสูตร 15-15-15 แบบสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จรูป (Compound) (N+P+K) ชนิดเม็ดประมาณปีละ 300,000-500,000 ตัน

ADVERTISMENT

ดังนั้น ส่งผลให้ได้รับผลกระทบจากการสั่งซื้อ การชำระเงินและต้นทุนการขนส่งไปยังท่าเรือ (ค่าระวางเรือ ค่าประกันภัยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ) เพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อราคาปุ๋ยเคมีสูตรอื่น ๆ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นด้วย การนำเข้าปุ๋ยเคมีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2564) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 4.85% ต่อปี

โดยการนำเข้าปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) มีแนวโน้มลดลง 5.31% ต่อปี ขณะที่การนำเข้าปุ๋ย 18-46-0 (DAP) เพิ่มขึ้น 2.60% ต่อปี และ 0-0-60 (MOP) เพิ่มขึ้น 19.57% ต่อปี โดยปี 2564 ไทยนำเข้าแม่ปุ๋ยเคมี (ซึ่งใช้ผลิตปุ๋ยสูตรอื่น ๆ) 61.62% ของปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมีทั้งหมดแบ่งเป็น นำเข้าปุ๋ยยูเรียมากที่สุดคิดเป็น 35.63% รองลงมาเป็นปุ๋ย 0-0-60 ประมาณ 16.37% และปุ๋ย 18-46-0 ประมาณ 9.62% ส่วนที่เหลือ 38.38% เป็นปุ๋ยเคมีสูตรอื่นๆ

ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์​ 2565 ไทยนำเข้าปุ๋ยปริมาณ 431,732.97 ตัน คิดเป็นมูลค่า 10,826.6 ล้านบาท โดยปี 2564 ไทยนำเข้าปุ๋ยเคมี จาก 45 ประเทศ ปริมาณ 5,520,883 ตัน มูลค่า 70,103 ล้านบาท สำหรับข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการเกษตร พบ ประเทศไทยมีพื้นที่ 131 ล้านไร่ ต้องการใช้ปุ๋ยเคมี 8.06 ล้านตัน แต่ในปี 2564 มีการนำเข้าเพียง 5.52 ล้านตัน

แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี แสดงความกังวลต่อราคาสินค้ารวมถึงปุ๋ยราคาแพงหวั่นกระทบกับเกษตรกร จึงสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งหามาตรการรับมือ ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาโครงการเพื่อสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาราคาปุ๋ยแพง เตรียมเสนอของบประมาณจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2,675.4 ล้านบาท เพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง ปุ๋ยพืชสด และโครงการเพื่อร่วมพัฒนาเกษตรกรให้ใช้ปุ๋ยอย่างถูกวิธี และเหมาะสม