จีเอสพี (GSP) คืออะไร ทำความเข้าใจสิทธิทางภาษี

GSP คืออะไร
คอลัมน์ แตกประเด็น
โดย ท.พ.ประโยชน์ เพ็ญสุต อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

ผู้ที่ติดตามเรื่องการค้าระหว่างประเทศคงจะเคยได้ยินคำว่า จีเอสพี (GSP) ซึ่งย่อมาจาก generalized system preference คือ สิทธิทางภาษีที่ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย โดยไม่ต้องเสียภาษีสินค้านำเข้าบางรายการเมื่อส่งสินค้าไปขายในประเทศผู้ให้สิทธิ เพื่อให้ประเทศที่กำลังพัฒนาสามารถส่งออกสินค้าไปแข่งกับสินค้าจากประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือแข่งกับประเทศที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าได้ราคาถูกและมีประสิทธิภาพ เช่น จีน เป็นต้น

เมื่อสามารถขายสินค้าของตนเองได้ จะทำให้เกิดการผลิต การจ้างงาน และทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับสิทธิมีความเจริญเติบโต ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนและมาตรฐานการครองชีพคนงานในประเทศดีขึ้น นอกจากนี้ GSP ยังมีส่วนช่วยผู้ประกอบการของประเทศผู้ให้เองสามารถลดต้นทุนในการผลิตสินค้า เมื่อนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP เพราะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าด้วย

การให้สิทธิ GSP นี้ เป็นการให้แบบฝ่ายเดียว (unilateral) คือประเทศที่ให้สิทธิ GSP ไม่ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากประเทศผู้รับ แต่เป็นการให้แบบมีเงื่อนไข คือ ประเทศที่จะได้รับสิทธิ GSP นี้จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประเทศผู้ให้วางไว้

ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของประเทศสหรัฐ ประเทศผู้มีสิทธิได้รับ GSP จากสหรัฐ จะต้องมีรายได้ของประชากรต่อหัว (GNP per capita) ไม่เกิน 12,476.00 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี (ประเทศไทยมีรายได้ประมาณหกพันเหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี) ต้องเป็นประเทศที่ไม่สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ต้องมีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในระดับที่ดีพอสมควร มีการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานสากล มีความพยายามในการขจัดการใช้แรงงานเด็ก และมีเงื่อนไขอื่น ๆ ในด้านการค้าและการปฏิบัติต่อสหรัฐอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่น เป็นต้น

ในปัจจุบันสหรัฐให้สิทธิ GSP แก่ประเทศต่าง ๆ ประมาณ 125 ประเทศ ครอบคลุมสินค้าประมาณ 3,500 รายการ สำหรับประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป แต่ประเทศกำลังพัฒนาในระดับน้อยที่สุด (least developed country : ซึ่งมีรายได้โดยเฉลี่ยต่อหัวน้อยกว่า 1,305 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี)

สหรัฐจะเพิ่มรายการที่ได้รับสิทธิ GSP นี้อีกประมาณ 1,500 รายการ สหรัฐเริ่มให้สิทธิทางภาษีแก่ประเทศต่าง ๆ โดยออกเป็นกฎหมายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 แต่ไม่ได้เป็นการถาวร โดยเมื่อกฎหมายหมดอายุลงก็มีการต่ออายุออกไปเป็นระยะ ๆ จนถึงปัจจุบัน

กฎหมายสิทธิ GSP ล่าสุดของสหรัฐจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคมปี 2560 นี้ โดยขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องทั้งประเทศผู้ได้รับสิทธิ เอกชน และทางการสหรัฐ กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลักดันในการดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายเพื่อ ขยายเวลา GSP ออกไปอีก ในปัจจุบันสหรัฐสูญเสียรายได้จากการให้สิทธิ GSP แก่ประเทศต่าง ๆ ประมาณปีละกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ

การให้สิทธิทางภาษี GSP นอกจากจะเป็นการช่วยประเทศต่าง ๆ ในการแข่งขันและการพัฒนาประเทศแล้ว ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สหรัฐใช้ในการชักจูงและกดดันประเทศต่าง ๆ ให้ปรับปรุงกฎระเบียบและพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางการค้าและทางสังคมที่เกี่ยวข้องในระดับที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิแรงงาน การควบคุมการใช้แรงงานเด็ก รวมถึงลดการกีดกันทางการค้าให้น้อยลงด้วย

ในอดีตสหรัฐมีการยกเลิกการให้สิทธิ GSP แก่ประเทศต่าง ๆ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ ได้แก่ กรณีไม่คุ้มครองสิทธิแรงงาน เช่น บังกลาเทศ ในปี 2556 เบลารุส ในปี 2543 กรณีไม่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ฮอนดูรัส ในปี 2541 ยูเครน ในปี 2544

เมื่อประเทศที่ถูกยกเลิก GSP มีการปรับปรุงและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จะได้สิทธิ GSP กลับคืนมา แต่มีบางประเทศที่ถูกยกเลิกสิทธิ GSP เป็นการถาวรเมื่อมีระดับการพัฒนาประเทศที่สูงมากจนไม่จำเป็นต้องได้รับสิทธิ GSP แล้ว ได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ในปี 2532 มาเลเซีย ในปี 2541 และรัสเซีย ในปี 2556 ส่วนประเทศไทยยังคงเป็นประเทศหนึ่งที่ยังได้รับสิทธิทางภาษี GSP จากสหรัฐ

ครั้งหน้าจะเล่าให้ฟังว่า ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจาก GSP และมีแนวโน้มเป็นอย่างไรครับ