ผลสำรวจสุขภาพนักศึกษาไทยน่าห่วง พบเครียดสูงเป็นซึมเศร้า-ไบโพลาร์

ซึมเศร้า โรคซึมเศร้า กรมสุขภาพจิต
Photo by Alex Ivashenko on Unsplash

สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ เปิดผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพนิสิต นักศึกษาไทย น่าห่วง มีภาวะเครียด เป็นทั้งซึมเศร้าและไบโพลาร์ พบบางส่วนเป็นหนี้หวย-พนัน 

วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รายงานผลสำรวจด้านสุขภาพของนิสิต นักศึกษาไทย ระดับปริญญาตรี พบว่าส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับภาวะความเครียด 

ดร.ศิริเชษฐ์ สังขะมาน ที่ปรึกษาโครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการสำรวจโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนทั้งสิ้นกว่า 9,050 ชุด จากมหาวิทยาลัยเครือข่ายทั่วประเทศ จำนวน 15 แห่ง ประกอบด้วย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยศิลปากร, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยพะเยา,  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เป็นต้น ซึ่งผลการสำรวจครอบคลุมหลายประเด็น 

สุขภาพจิตน่าห่วงเป็นทั้งซึมเศร้า-ไบโพลาร์

ดร.ศิริเชษฐ์กล่าวต่อว่า ในประเด็นสุขภาพจิต พบว่ามีจำนวนนิสิตนักศึกษา ร้อยละ 30 รู้สึกเศร้าบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 4.3 ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่ามีอาการทางจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) เกือบร้อยละ 40 มีความเครียดบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา

โดยกว่าร้อยละ 4 ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมด เคยคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา ร้อยละ 12 ได้เคยลงมือทำร้ายร่างกายตนเองแล้ว โดยในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 1.3 ที่ได้ลงมือทำร้ายร่างกายตนเองบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา

อีกทั้งยังพบพฤติกรรมเนือยนิ่งและมีแนวโน้มรับประทานอาหารเช้าลดลง การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับการรับประทานอาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง ในขณะที่มีแนวโน้มพฤติกรรมการออกกำลังกายลดลงและมีพฤติกรรมเนือยนิ่งเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับ 1 ใน 3 มีการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้สัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งมีค่าดัชนีมวลกายไม่เหมาะสม โดย 1 ใน 4 เผชิญกับภาวะผอม และมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ส่งผลต่อการเจ็บป่วยหรือการเป็นโรคที่เกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมเพิ่มมากขึ้น

ในส่วนของพฤติกรรมการใช้ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดอื่น ๆ พบการสูบบุหรี่ภายในมหาวิทยาลัยสูงกว่าร้อยละ 40 และร้อยละ 9 มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง ส่วนการใช้สารเสพติดอื่น ๆ เช่น กัญชา กระท่อม พบได้น้อยร้อยละ 0.4 ที่ใช้บ่อยครั้ง และอีกร้อยละ 2 ที่ใช้บ้างนาน ๆ ครั้ง

นอกจากนี้ยังพบว่ามีพฤติกรรมการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งขณะใช้รถเพียงร้อยละ 60 ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียง 1 ใน 3 ที่สวมหมวกนิรภัยขณะใช้จักรยานยนต์ ร้อยละ 15 เผยว่าเคยมีการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา เกือบครึ่งหนึ่งดื่มในปริมาณมาก นำไปสู่การบาดเจ็บและสูญเสียชีวิต

เปิดกว้างทางเพศมากขึ้น

ประเด็นเพศสภาพและพฤติกรรมทางเพศ ปัจจุบันมีการเปิดกว้างทางเพศมากขึ้น พบว่าประมาณ 1 ใน 4 ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ และพบมากในนิสิตนักศึกษาชาย ร้อยละ 33.4 นิสิตนักศึกษาหญิง ร้อยละ 27.9 และกลุ่ม LGBTQIA+ ร้อยละ 19.9 มีการคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัยเป็นหลักถึงร้อยละ 46.6 แต่ยังมีอีกร้อยละ 5 ที่ไม่ได้ป้องกัน

บางกลุ่มติดหนี้หวย พนัน

ดร.ศิริเชษฐ์กล่าวอีกว่า ประเด็นภาระทางการเงิน พบสถานะทางการเงินที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยครึ่งหนึ่งไม่มีหนี้สินทางการเงิน ส่วนมากอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกครึ่งหนึ่งมีภาระหนี้สิน พบมากในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ โดยเกือบร้อยละ 40 เป็นหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นหนี้ค่าเล่าเรียน รองลงมาคือ หนี้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และหนี้ค่าที่พักอาศัย 

“แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่พฤติกรรมการเป็นหนี้เป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มหรือพื้นที่ ได้แก่ หนี้หวย หนี้พนันบอล ซึ่งมีการเล่นภายในครัวเรือนและมีอิทธิพลต่อวิถีการใช้จ่ายของนิสิตนักศึกษาด้วย”

ความเครียด-ปัญหาการเงินส่งผลต่อการเรียน

ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการเรียน พบความเครียดเป็นสัดส่วนสูงสุดถึงร้อยละ 20 รองลงมาคือ ปัญหาทางการเงิน ร้อยละ 11.5 ความรู้สึกวิตกกังวล ร้อยละ 10.7 คิดถึงบ้าน ร้อยละ 9.3 ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ ร้อยละ 7.9 และปัญหาเกี่ยวกับสมาธิ ร้อยละ 7.7 อีกร้อยละ 5 มีปัญหาการติดสื่อสังคมออนไลน์และเกม

ส่วนประเด็นความรุนแรงและการล่วงละเมิด พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.7 ไม่เคยโดนกระทำความรุนแรงหรือการถูกล่วงละเมิด ที่เหลือร้อยละ 10 เคยโดนกระทำแล้วด้วยการถูกทำร้ายจิตใจจากคนใกล้ชิด คิดเป็นร้อยละ 32.2 ถูกคุกคามทางวาจา ร้อยละ 32.0 และถูกลวนลาม ร้อยละ 8.9 โดยนิสิตนักศึกษาที่เป็น LGBTQIA+ และในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสัดส่วนสูงสุด

แนะมหาวิทยาลัยช่วยเฝ้าระวัง

ดร.ศิริเชษฐ์ชี้ว่า แนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาของประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับการขับเคลื่อนในระดับนโยบายภายใต้ 2 แนวทาง เริ่มจากการพัฒนาฐานข้อมูลสถานการณ์ด้านสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย เพื่อทำให้เกิดการรับรู้สถานการณ์ระดับประเทศหรือแนวทางการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยอื่นที่เป็นปัจจุบัน นำข้อมูลมาใช้เปรียบเทียบและขับเคลื่อนนโยบายที่เหมาะสมสำหรับมหาวิทยาลัยของตนในแต่ละแห่ง

โดยเก็บข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแนวทางการเฝ้าระวังหรือป้องกันแบบ “เชิงรุก” ผ่านการตอบแบบสอบถาม “แบบประเมินสุขภาวะระดับมหาวิทยาลัย” ในรูปแบบออนไลน์ และสร้างกลไกเพื่อนช่วยเพื่อน (Health-me Buddy) เพื่อเสริมการทำงานของแต่ละมหาวิทยาลัยในการดูแลและเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ผ่านการอบรมและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านร่างกายและจิตวิทยา และบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ