
ภาษาจีนได้เข้ามามีบทบาทต่อตลาดแรงงานของไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจ อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจค้าขาย หรือการร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวจีน ทั้งจากจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งนับวันจะมีอัตราส่วนทางการค้าทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
นับว่าเป็นกุญแจสำคัญสู่โลกการสื่อสารยุคใหม่ ผู้ที่สามารถใช้ภาษาจีนในการติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะกลายเป็นบุคคลที่มีความต้องการของตลาดแรงงานมากในอันดับต้น ๆ ณ ขณะนี้ (วรารักษ์ พูนวิวัตน์, 2557) ทำให้ประเทศไทยได้ผลักดันให้คนไทยเรียนรู้ภาษาจีนให้มากขึ้น ทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาของรัฐ และเอกชน เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสาร สร้างความร่วมมือทางการค้า การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิตของทุกคน
คนรุ่นใหม่เก่งหลายภาษา
ผศ.ดร.อภิรดี เจริญเสนีย์ หัวหน้าสาขาภาษาจีน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันทักษะสองภาษาถือเป็นภาษาพื้นฐาน และเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เปิดประตูได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบาน
“ภาษาจีน” ถือเป็นภาษาที่สำคัญในโลกตะวันออก ส่วน “ภาษาอังกฤษ” เป็นภาษาที่สำคัญในโลกตะวันตก เมื่อมีความรู้ควบคู่กันจะช่วยเสริมให้เด็กเยาวชนมีความรู้รอบด้าน ตลอดจนการที่เข้าใจวัฒนธรรม และวิธีคิดที่เป็นระบบ สามารถลดช่องว่างในการสื่อสารทางธุรกิจได้ตรงจุด
ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนหลายภาษาในโลกยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันว่า การเน้นเรียนรู้และสื่อสารต่างภาษาถือว่าเป็นข้อดี เพื่อแก้จุดอ่อน สร้างจุดแข็งในบริบทใหม่
ขณะที่ทางเลือกสามภาษา หากได้เรียนรู้ตั้งแต่วัยเด็กจะช่วยเพิ่มพัฒนาการทางปัญญา และเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต การวิจัยระบุว่าเด็กที่เรียนหลายภาษาตั้งแต่อายุยังน้อย มีแนวโน้มที่จะมีทักษะการแก้ปัญหาได้ดีมากกว่าปกติ ทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ที่สำคัญคือมีความจำที่ดีขึ้นอีกด้วย
กลยุทธ์สำคัญของกระทรวงศึกษาธิการคือ การให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่ทุกคน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศได้ ทั้งนี้ การพัฒนาการศึกษาของไทยยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และผู้ปกครอง
รร.นานาชาติ ทางเลือกพรีเมี่ยม
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนที่เปิดหลักสูตรภาษาจีนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน “โรงเรียนนานาชาติ” ก็ลงมาเล่นในตลาดนี้ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลจาก International Schools Database เปิดเผยว่า ปัจจุบันรายชื่อโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรสามภาษามีทั้งหมด 9 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนนานาชาติ เซนต์มาร์ค (St. Mark’s International School), โรงเรียนนานาชาติสยามสิงคโปร์ (Siam Singapore International School), โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน (Concordian International School),
โรงเรียนนานาชาติไทย-จีน (Thai-Chinese International School), โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (Singapore International School Bangkok), โรงเรียนนานาชาติ มอนเตสซอรี่ อคาเดมี (Montessori Academy Bangkok International School) และโรงเรียนนานาชาติคิดส์อะคาเดมี่ (Kids Academy International School) ที่เปิดสอนภาษาอังกฤษ-ไทย-ญี่ปุ่น
ซึ่งมี 2 โรงเรียนที่เปิดสอน 2 ภาษา คืออังกฤษ-จีน ได้แก่ โรงเรียนนานาชาติแมนดาริน (Mandarin International School) และโรงเรียนนานาชาติกลอรี่สิงคโปร์ (Glory Singapore International School) อย่างไรก็ตาม การแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติยังคงต้องการตัวเลือกที่แตกต่าง
ล่าสุด “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส” (Shrewsbury International School Bangkok City Campus) ของตระกูล “โสภณพนิช” ได้ประกาศเปิดตัวโปรแกรมใหม่ “ฮั่นชิง” เส้นทางการเรียนรู้สองภาษา จีนกลางและอังกฤษ (Hanqing Bilingual Pathway)
ชูแนวคิด 1 แคมปัส 2 เส้นทางการเรียนรู้ (One Campus, Two Pathways) โดยโปรแกรมฮั่นชิง เส้นทางการเรียนรู้สองภาษานี้จะเริ่มเปิดสอนให้กับนักเรียนตั้งแต่ชั้น Early Years 1-2 หรืออายุ 3-4 ขวบ เป็นต้นไป มีวัตถุประสงค์เพื่อปูพื้นฐานด้านภาษาจีนกลางและอังกฤษให้เด็กตั้งแต่เล็ก
ภายใต้เป้าหมายเพื่อการส่งเสริมความเข้าใจในวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มโอกาสในการสื่อสารของโลกยุคใหม่ และเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ความสำเร็จด้านวิชาการและทักษะด้านภาษาที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองโลกที่มีศักยภาพสูง
นับเป็นทางเลือกใหม่ของการเรียนสองภาษาระดับพรีเมี่ยม โดยโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ ที่ออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์อนาคต ด้วยการให้ความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ผ่านการผสมผสานระหว่างภาษาจีนกลาง ซึ่งถือเป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากลและเป็นภาษาหลักในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องพัฒนา
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศไทยยังคงมีช่องว่างเรื่องการศึกษาอยู่มาก การพัฒนาด้านการศึกษาระดับพื้นฐานจึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและให้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์โลก
ขณะที่หลักสูตรนานาชาติมีการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้ชนชั้นกลางซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ เริ่มมีความต้องการและเสาะแสวงหาโรงเรียนคุณภาพให้กับบุตรหลานตัวเองมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ขณะที่ข้อจำกัดของการเรียนภาษาในประเทศไทยอย่างที่ทราบกัน คือการเรียนแบบท่องจำ ทำให้เยาวชนคนไทยเรียนภาษาได้แต่ไม่สำเร็จเท่าที่ควร
รวมถึงการศึกษาที่มีคุณภาพในประเทศไทยมักมีราคาแพง ส่งผลให้มีกลุ่มครอบครัวจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงการศึกษาดังกล่าวได้ ด้วยเหตุนี้ กลุ่มบริษัทจื้อ-เล่อ จึงมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้นักเรียนรุ่นเยาว์ในประเทศไทยได้มีโอกาสเข้าถึง “หลักสูตรสามภาษา” คือภาษาไทย อังกฤษ และจีน ในระดับคุณภาพสูง แต่ราคาเอื้อมถึงได้
ภายใต้หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ หรือ ศธ. จึงมีการพัฒนาหลักสูตร Interactive เน้นการใช้จริง เป็นการเรียนการสอนแบบให้เด็กได้ฟังได้พูดทุกวัน เหมือนการเริ่มต้นเรียนภาษาแม่
การเปิดตัว “โรงเรียนสามภาษา จื้อ-เล่อ ศิริเพ็ญ พัฒนา” ดำเนินการสอนด้วยหลักสูตรภาษาไทย เสริมภาษาจีน และภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น (ICEP) สำหรับเด็กอายุ 2-11 ขวบ
โดยมีการเรียนภาษาไทย 49% ภาษาอังกฤษ 27% และภาษาจีน 24% ทั้งนี้ จะเปลี่ยนเป็นภาษาไทย 40% ภาษาอังกฤษ 30% และภาษาจีน 30% ค่าเล่าเรียนเริ่มต้นที่ประมาณ 100,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 50,000 บาทต่อภาคการศึกษา ไม่มีค่าแรกเข้า ไม่มีค่าลงทะเบียนเรียน หรือค่าธรรมเนียมพิเศษใด ๆ
ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการศึกษา ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงและมีโอกาสทางการศึกษา รวมถึงโอกาสในด้านอื่น ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น เพราะการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่หลากหลาย เท่ากับเป็นการเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพ ทั้งเปิดโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมและสร้างเม็ดเงินมหาศาลที่จะมาพร้อมกับประชากรคุณภาพในอนาคต