“ประยุทธ์” ปิดประตูตีเมือง 6 ภาค เจาะฐานเสียง ชิงคะแนนนิยมนักเลือกตั้ง-

แม้ว่าโรดแมปการเลือกตั้งจะยังบิดไป-บิดมา ไม่นิ่ง ไม่ลงล็อก ทว่าสัญญาณ-วาระทางการเมืองกลับราบเรียบ เป็นใจ ทั้งฉากจบคดีรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวก ไม่มีแรงกระเพื่อม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ-ปากท้องที่มีแต่ “ข่าวดี” ทั้งภารกิจ-หน้าที่ของแม่น้ำ 5 สาย-องค์กรตรวจสอบ ที่ค่อย ๆ ไหลไปตามทิศทางลมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

1 ในแกนนำรัฐบาล-คสช. “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี แม่ทัพเศรษฐกิจ ถึงกับออกอาการ “มั่นใจสุด ๆ” ว่า รัฐบาลกำลังอยู่ในกระแส “ขาขึ้น” อย่างน้อย 1-2 ปีนับจากนี้ “ติดลมบน” แน่นอน ภายหลังกลับจากการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดสุพรรณบุรี-พระนครศรีอยุธยา ฐานทัพนักการเมือง “บรรหารบุรี”

เจาะวอร์รูม เสธ.ทำเนียบ

ยุทธการตีเมืองขึ้น-ฐานเสียงของพรรคการเมือง ถูกกลั่น-กรองออกมาจาก “ทีมเสนาธิการ” บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ประกอบด้วย 1.ทีม ศูนย์บัญชาการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC ที่มี “พล.อ.สกล ชื่นตระกูล” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4-ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก และ “พล.อ.จีระศักดิ์ ชมประสพ” อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเป็นมันสมอง 2.ทีมสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ของ “พล.อ.วิลาศ อรุณศรี” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ 3.ทีมสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของ “พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ยังมี “ที่ปรึกษาเศรษฐกิจส่วนตัว” นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

แพลนสิ้นปี 2 เดือน 3 ภาค

แพลนต่อไปก่อนสิ้นปีนี้ อีก 3 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคใต้ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ขณะนี้ “ทีมเสธ.ทำเนียบ” กำลังพิจารณา-จัดวาง

โปรมแกรมให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม แม้จะต้องเดินสาย 3 ภาคในห้วงเวลา 2 เดือน ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะทีมเสธ.ทำเนียบ ได้วางคิว-จัดโปรแกรม ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินสายทุก ๆ 2 ภาคใน 1 เดือนอยู่แล้ว

โพลหนุน สัญจรใต้

ขณะที่การเดินสาย ครม.สัญจร จังหวัดสุพรรณบุรี-พระนครศรีอยุธยาที่ผ่านมา “สำนักดุสิตโพล” ได้แจ้งกำหนดการจัด ครม.สัญจร ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และหากจะมีการจัด ครม.สัญจรหลังจากนี้ ประชาชนอยากให้จัดที่ใด สำรวจออกมาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 59.63% ต้องการให้จัดการประชุม ครม.สัญจร ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่ 32.72% ต้องการให้จัด ครม.สัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ 26.38% อุดรธานี 17.28% ขอนแก่น และ 16.34% ตรัง

จ่อลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ ฯ

จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถือเป็นจังหวัดต้น ๆ ที่ “ทีมเสธ.ทำเนียบ” หมายตา-จัดวางให้ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางลงพื้นที่ทั้งการตรวจราชการส่วนภูมิภาคปกติ-ครม.สัญจร ซึ่งการเดินทางของ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อไปเปิดสถานีเคเบิลใต้น้ำ จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 29 กันยายน ก็ถือเป็นการหยั่งเสียงคนปักษ์ใต้-เฉียดเข้าใกล้สุราษฎร์ธานีไปอีกก้าวหนึ่ง

การเดินทางลงพื้นภาคใต้-3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ของพล.อ.ประยุทธ์ อาจทำให้ลูกอ้อน “ปันใจ” แฟนคลับนายอภิสิทธิ์ สาวกนายชวน-บัญญัติ ได้ไม่มากก็น้อย

โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่บัญชาการของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตเลขาธิการ ปชป.-กปปส. ด้วยบทบาทเป็น “พาวเวอร์แบงก์” ให้รัฐบาล-คสช.คอยเชื่อมต่ออำนาจผ่านท่อพรรคขนาดกลาง-เล็กเป็นแรงส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ นั่ง “นายกฯคนนอก” ก็เป็นได้

ด้านพื้นที่ 3 จังหวัด EEC เศรษฐกิจลูกใหม่ของประเทศไทย ต่อจากอีสเทิร์นซีบอร์ดในยุค พล.อ.เปรม รัฐบาล-คสช.ถือว่าได้ปักธงเมืองใหม่ไว้โกยแต้มทางการเมือง-เศรษฐกิจไว้แล้ว

ขณะที่คิวบุกภาคเหนือ “ยังไม่ลงตัว” เพราะถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเคยเดินทางไปประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่มาแล้วราวเดือนมิถุนายน 2558

ลุ้น เหยียบฐานเสียงทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

ทว่าทีมยุทธศาสตร์การเมืองของผู้นำ คสช. ยังวางยุทธศาสตร์ ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ต้องการลงพื้นที่ภาคเหนือ จะไม่ไป เชียงใหม่ -เชียงราย ฐานที่มั่นเพื่อไทย ไม่ยอมซ้ำรอย “ยิ่งลักษณ์” แต่จะบุกจังหวัดเล็ก ๆ ในภาคเหนือตอนกลาง – ตอนล่างแทน

ยิ่งพิเคราะห์ภูมิศาสตร์การเมืองจะเห็นว่า โซนภาคเหนือตอนล่างต่อกับภาคกลางตอนบน พ้นพื้นที่สีแดงเข้มอันเป็นอาณาเขตของพรรคเพื่อไทย กลายเป็นสีแดงอ่อน และเป็นพื้นที่ของพรรคอื่นอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มมัชฌิมาธิปไตย อันเป็นกลุ่มของสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะสลับไปอยู่ขั้วไหน

ภายในพรรคเพื่อไทยมีการ “ปรับกลยุทธ์” ภาคเหนือปรับเปลี่ยนตัวผู้สมัครในภาคเหนือตอนล่าง-กลางตอนบน หวังรั้งเก้าอี้ ส.ส.ให้ได้มากที่สุด แม้ไม่ชนะเป็นเบอร์ 1 แต่ต้องกอบโกยคะแนนเพื่อนำไปคำนวณเป็นบัญชีรายชื่อ

อาจเป็นเหตุให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ฉวยจังหวะ – โอกาสโกยคะแนนนิยมพื้นที่ที่ยังอ่อนไหวทางการเมืองสูงอยู่

ประชิดบ้าน “สุวัจน์” 3 หน

การเดินสายของ “พล.อ.ประยุทธ์” จึงไม่ต่างกับนักการเมืองหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง เปิดทัวร์ทริป ครม.สัญจรหนสาม บุกถึงอีสานถิ่นย่าโม นครราชสีมา อันเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางการเมืองมากที่สุด มี ส.ส.ทุกขั้วทุกพรรคชิงเก้าอี้ในจังหวัดแห่งนี้

หนึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคชาติพัฒนา ของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” จึงมี ส.ส.ระดับหัวหน้าพรรค คือ “วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” อดีต รมว.อุตสาหกรรม และ “ประเสริฐ บุญชัยสุข” รมว.อุตสาหกรรมอีกรายที่อยู่ในชายคาพรรค

แม้ “สุวัจน์” ไม่มาต้อนรับขับสู้ “พล.อ.ประยุทธ์” ด้วยตัวเอง แต่ก็ปรากฏเงาของ “ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา อดีตรัฐมนตรีหลายเก้าอี้ในโควตาของ “สุวัจน์” ก็มาต้อนรับผู้นำ คสช. และร่วมประชุม-สุมความคิด แก้ไขปัญหาร่วมแก้ปัญหา ควบการพัฒนาพื้นที่โคราชไปพร้อมกัน

เป็นจังหวะที่การเมืองในพื้นที่โคราชของพรรคเพื่อไทย-พรรคภูมิใจไทยก็แตกกระจัดกระจาย มิได้เป็น “ปึกแผ่น” เหมือนในอดีต “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” อดีตหัวหอกภูมิใจไทย ก็แยกตัวออกมาจากพรรค ว่ากันว่าอาจลงเล่นการเมืองท้องถิ่น

ส่วนพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ที่การเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 เพื่อไทยกวาดไปอีก 8 ที่นั่งนั้น ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ไม่แน่ว่าจะรักษาเก้าอี้เดิมได้หรือไม่หลังจาก คสช.ลงไปเจาะพื้นที่อย่างหนักหน่วง

ภาพปัจจุบันแกนนำเสื้อแดงอย่าง “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” หรือ “แรมโบ้อีสาน” หัวหอกเสื้อแดง อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทย ก็ลดบทบาทตั้งแต่ คสช.เรียกไปปรับทัศนคติช่วง 22 พ.ค. 2557

ชวนพรรค “ปลาไหล” ร่วม

ทริปต่อไปของ “พล.อ.ประยุทธ์” บุกรัง “มังกรสุพรรณ”-ที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคที่ทรงอิทธิพลเขตภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา เจ้าของสมญา “พรรคปลาไหล”

การไปเยือนถิ่นสุพรรณบุรี ได้พบกับเจ้าของพื้นที่ทายาทบรรหารอย่าง “นายวราวุธ ศิลปอาชา” ประธานสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี นายประภัตร โพธสุธน นายกรวีร์-นายภราดร ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง นายประภัตร โพธสุธน อดีต ส.ส. สุพรรณบุรีหลายสมัยให้การต้อนรับ

จึงมีวลีการเมืองที่หลุดจากปากนักการเมืองอาชีพ ถึงนักการเมืองเฉพาะกิจ ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” ว่า “เมื่อปากท้องของประชาชนอยู่ได้ นายกฯจะอยู่อีก 8 ปี 10 ปี”

เยือนถิ่น “คุณปลื้ม”

ขณะที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา”พล.อ.ประยุทธ์” นั่ง ฮ.ไปยังเมืองชล ดินแดนของพรรคพลังชล ถิ่นของนักการเมืองตระกูลคุณปลื้มกล่าวปิดงาน “มิติการศึกษาพัฒนาพื้นที่พิเศษ เดินหน้าประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

ดังนั้นทั้งสามพื้นที่เป็นที่มั่นอยู่ในการดูแลของพรรคขนาดกลาง ซึ่งตามกติกาการเลือกตั้งใหม่ในแบบระบบจัดสรรปันส่วนผสม – นำคะแนน ส.ส.เขตไปคำนวณเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ

เป็นผลให้พรรคขนาดใหญ่ที่ได้ ส.ส.เขตมากก็จะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยลงไปด้วย แต่กลับกันเอื้อให้พรรคขนาดกลางได้จำนวน ส.ส.เพิ่มมากขึ้น

ยิ่งพรรคชาติพัฒนาของ”สุวัจน์” มีฉายาว่า “พรรคจอมเสียบ” พรรคชาติไทยพัฒนาของตระกูล”ศิลปอาชา” ได้ชื่อว่า “พรรคปลาไหล” ส่วน พรรคพลังชล ของตระกูล “คุณปลื้ม” ยังไม่มีประวัติเคยเป็นฝ่ายค้าน ย่อมสะท้อนนัยทางการเมืองการลงพื้นที่ของ “พล.อ.ประยุทธ์”