เงินบาทพลิกแข็งค่า จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย

กนง. เงินบาท แบงก์ชาติ

เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 35.55 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ตลาดในประเทศรอติดตามผลการประชุมกนง. 10 ส.ค.นี้ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทย หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาปิดเหนือ 1,600 จุด รับสัญญาณชะลอขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ

วันที่ 6 สิงหาคม 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทพลิกแข็งค่าผ่านแนว 36.00 ไปแตะระดับ 35.55 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือน โดยเงินบาทอ่อนค่าลงช่วงสั้น ๆ ต้นสัปดาห์ตามภาพรวมของสกุลเงินในเอเชีย ท่ามกลางสัญญาณตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ในประเด็นเรื่องไต้หวัน

ขณะที่เงินดอลลาร์มีแรงประคองจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายที่ให้ความเห็นว่า ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐจะยังคงต้องปรับขึ้นต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกแข็งค่าในช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงตามการย่อตัวของบอนด์ยีลด์ระยะยาวของสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลต่อสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมก่อนการประชุมกนง. ในวันที่ 10 ส.ค. ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย หลังจากดอกเบี้ยทรงตัวที่ระดับ 0.50% ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563

ในวันศุกร์ที่ 5 ส.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.57 (หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนที่ 35.55 บาทต่อดอลลาร์) เทียบกับระดับ 36.81 บาทต่อดอลลาร์ ในวันพุธก่อนหน้า (27 ก.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 1-5 ส.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4,125 ล้านบาท ขณะที่มีสถานะเป็น NET OUTFLOW ออกจากตลาดพันธบัตร 1,074 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 6,737 ล้านบาท แต่มีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 7,811 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (8-12 ส.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 35.00-36.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณดอกเบี้ยของไทยจากผลการประชุมกนง. วันที่ 10 ส.ค. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ระหว่างสหรัฐ-จีนในประเด็นไต้หวัน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในมุมมองของผู้บริโภคเดือนส.ค. (เบื้องต้น) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนด้วยเช่นกัน

ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% และส่งสัญญาณชะลอขนาดการขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงสั้น ๆ ในเวลาต่อมาท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนในประเด็นไต้หวัน หุ้นไทยกลับมาทยอยปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับประเด็นสหรัฐ-จีน ประกอบกับมีแรงซื้อต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและไฟแนนซ์เข้ามาช่วยหนุน

ในวันศุกร์ (5 ส.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,601.09 จุด เพิ่มขึ้น 1.57% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 64,109.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.38% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 5.41% มาปิดที่ 612.89 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (8-12 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,580 และ 1,570 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,610 และ 1,620 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (10 ส.ค.) ผลประกอบการงวด 2Q/65 ของบริษัทจดทะเบียนใน ตลท. รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ค. ของจีน ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ค. ของญี่ปุ่น ตลอดจนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ของยูโรโซน