GULF ทุ่ม 2,700 ล้าน ลงทุนกองทุน LCI Fund กลุ่มธุรกิจธนาคารชั้นนำโลก

GULF หุ้น กัลฟ์

กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ส่งบริษัทย่อย “Gulf HK” เข้าลงทุน 2.7 พันล้านบาท ในกองทุน LCI Fund กำหนดอายุกองทุน 10 ปี มีระยะเวลาลงทุน 5 ปี ทยอยเรียกชำระทุน มุ่งนโยบายแก้ปัญหาโลกร้อน

วันที่ 8 สิงหาคม 2565 นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า Gulf International Investment (Hong Kong) Limited (Gulf HK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 100% ได้ลงนามในสัญญาลงทุน (Subscription Agreement) เพื่อเข้าลงทุนในวงเงิน 75 ล้านยูโร (ประมาณ 2,736 ล้านบาท) ในกองทุน Lightrock Climate Impact Fund SCSp (LCI Fund)

โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดอายุกองทุนประมาณ 10 ปี และมีระยะเวลาลงทุน 5 ปี ซึ่งจะทยอยเรียกชำระทุนภายในระยะเวลาลงทุนดังกล่าว

LCI Fund ถือเป็นกองทุน Private Equity ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท Lightrock ที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยราชวงศ์แห่ง ลิกเตนสไตน์ และ LGT ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจธนาคารและการจัดการสินทรัพย์ชั้นนำของโลก ในด้านธนบดีธนกิจ (Private Banking) และการจัดการสินทรัพย์ (Asset Management)

โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เน้นการแก้ปัญหาโลกร้อนภายใต้บริบทของการดำเนินธุรกิจตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG: environmental, social, governance) อาทิ 1.การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

2.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม (De carbonizing Industries) เช่น การดักจับ และกักเก็บคาร์บอน และกระบวนการอุตสาหกรรมสีเขียว 3.การขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation) 4.อาหารและ การเกษตรที่ยั่งยืน (Sustainable Food and Agriculture)

5.การนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจ (Enabling Technologies and Solutions) เช่น บริการที่ปรึกษาสำหรับการพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การลงทุนใน LCI Fund สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนและการจัดการสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศทั่วโลกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี 2050


ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุน ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการให้ผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย