CIMBT ฟันธงขึ้นดอกเบี้ยแน่รอบนี้ หวั่นกรรมการเสียงแตกขึ้นดอกเบี้ยแรง 0.50%

ดร.อมรเทพ จาวะลา
ดร.อมรเทพ จาวะลา

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองประชุม กนง.ขึ้นดอกเบี้ยแน่ 0.25% สู่ระดับ 0.75% ตามตลาดคาดการณ์ หวั่นการเว้นวรรคทำกรรมการเสียงแตกทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยแรง 0.50% คาดดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบอุตสาหกรรมมีหนี้สูง

วันที่ 9 สิงหาคม 2565 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ มองว่าสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายชัดเจน จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยหลังเปิดเมือง นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างชัดเจน ซึ่งช่วยสนับสนุนธุรกิจภาคบริการ ขณะที่การส่งออกยังเติบโตได้ต่อเนื่องและสนับสนุนภาคการผลิต

อย่างไรก็ดี จากปัญหาเงินเฟ้อพุ่งแรง ต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ เพิ่มสูง มีผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนยังเติบโตช้าและกระจุกตัวในกลุ่มรายได้กลาง-บน และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวและส่งออก แต่กลุ่มภาคเกษตรยังมีปัญหา อีกทั้งการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวยังมีน้อย คือมีจังหวัดท่องเที่ยวเพียงไม่กี่แห่ง ธุรกิจขนาดกลางและเล็กยังมีปัญหาหนี้สูง รายได้โตไม่ทันรายจ่าย แต่ที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่แม้จะเปราะบางและไม่ทั่วถึงแล้ว เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหา

และหากขึ้นดอกเบี้ยช้าหรือไม่แรงพอจะเกิดอะไรขึ้น โดยหาก กนง.รอบนี้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.25% ไปสู่ระดับ 0.75% ต่อปี ก็น่าจะเป็นที่รับรู้ของตลาดเงินและตลาดทุนอยู่แล้ว แต่ที่ต้องจับตามองต่อ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง ที่ชัดเจน รวดเร็ว และขึ้นแรง เนื่องจากรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนี้ไทยตามหลังสหรัฐและประเทศอื่นมามากแล้ว และหากปรับขึ้นเพียง 0.25% และไม่ได้มีการส่งสัญญาณใด ๆ หรือให้น้ำหนักกับการคงดอกเบี้ยต่ำเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Dovish) มากเกินไป เราอาจเห็นสิ่งต่อไปนี้

1.เงินเฟ้อคาดการณ์สูง ราคาสินค้าอาจขยับขึ้นต่อเนื่องในอนาคต หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นด้านเสถียรภาพราคาได้ โดยเราอาจเห็นการปรับขึ้นราคาสินค้าจากฝั่งอุปสงค์ที่มีการอั้นมานาน และทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องทำให้เงินเฟ้อยังสูงในปีหน้า

2.เงินไหลออกทำบาทอ่อนค่า จากการเทขายพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และบาทที่อ่อนอาจมีผลต่อต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มสูง ทำให้เงินเฟ้อเร่งต่อเนื่อง แม้บาทอ่อนช่วยกลุ่มท่องเที่ยวและส่งออก แต่ความผันผวนที่สูงมีผลให้การบริหารทางบัญชีมีความลำบาก

3.สภาพคล่องที่สูงแต่ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้คนอยากเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงมากเกินไป หรือประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป จนอาจมีผลต่อความเสี่ยงด้านสถาบันการเงินในอนาคต

อย่างไรก็ดี หาก กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงในรอบแรกถึง 0.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ระดับ 1.0% ต่อปี ก็อาจไม่เหนือความคาดหมายของตลาด แต่ให้น้ำหนักน้อย และน่าจะเกิดจากความล่าช้าของไทยในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้า

และการประชุม กนง.ที่เว้นระยะห่างไว้มากกว่าเดิม ทำให้พอจะปรับขึ้นก็ต้องปรับแรงขึ้น อีกทั้งคณะกรรมการเสียงข้างน้อยที่เสนอให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบก่อนอีก 0.25% อาจเสนอให้ปรับขึ้น 0.50% ในรอบนี้ไปเลย แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงที่ 0.5% ในครั้งเดียวก็ไม่น่าทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนผันผวน แต่อาจต้องพิจารณาการส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในปลายปีนี้ถึงปีหน้า เพราะเศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้าและระดับเศรษฐกิจไทยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ไม่เหมือนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐและประเทศอื่นที่ฟื้นได้ก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว

ดังนั้น ธนาคารฟันธงขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่เสียงแตกอยากขึ้นแรง โดยมองว่า กนง.เสี่ยงข้างมาก น่าจะให้น้ำหนักความเสี่ยงในการฟื้นตัวและการกระจายตัวของเศรษฐกิจไทย และน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% เท่านั้น แต่น่าจะมีเสียงข้างน้อย 3 เสียงเช่นเดิมที่สนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5%

อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ น่าจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีหนี้สูงและมีการฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้มากและยังมีปัญหารายได้โตไม่ทันรายจ่าย เช่น กลุ่มธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การสื่อสารและโทรคมนาคม ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจขนส่ง การก่อสร้างและขายวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจสำนักงานให้เช่า

และในกลุ่มดังกล่าว หากอยู่ในพื้นที่หรือมีลูกค้ากลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว การส่งออก และการฟื้นตัวของกำลังซื้อระดับกลางถึงบนก็น่าจะได้รับผลกระทบน้อย เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยรอบนี้น่าจะมาจากการฟื้นตัวที่ช้าของกำลังซื้อระดับล่าง โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับสูง