เปิดวิธีจัดการ “หนี้ผ่อนบ้าน” ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น

การเงิน ใช้จ่าย ลงทุน หนี้

ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ใครที่มีสถานะเป็น “ลูกหนี้” ก็คงต้องทำใจจะต้องมีภาระรายจ่ายมากขึ้น “Financial Wisdom” ของธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทความน่าสนใจมาแนะนำ “จัดการหนี้บ้านอย่างไร ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น”

วันที่ 14 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานในภาวะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูง และล่าสุด (10 สิงหาคม 2565) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยขยับจาก 0.50% ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 0.75% และยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นต่อเนื่อง

ใครเป็น “ลูกหนี้” ย่อมต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น ในภาวะเช่นนี้ควรรับมืออย่างไร

“ประชาชาติธุรกิจ” ขอนำบทความเรื่อง “จัดการหนี้บ้านอย่างไร ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น” จากคอลัมน์  Financial Wisdom ใน BOT พระสยาม MAGAZINE ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มานำเสนอ โดยมีการแยกแยะ “ลูกหนี้สินเชื่อบ้าน” ที่จะได้รับผลกระทบเป็น 2 กลุ่ม พร้อมข้อแนะนำวิธีช่วยลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงเทคนิคที่จะช่วยให้ “ปลดหนี้บ้าน” ได้เร็วขึ้น ดังนี้

สินเชื่อบ้าน 2 กลุ่ม ที่จะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน คือ

1. กลุ่มที่ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate) ลูกหนี้กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากยังคงถูกคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปตามสัญญา โดยสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะกำหนดให้เป็น fixed rate ในช่วงแรก เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ 3% ใน 3 ปีแรก แล้วค่อยปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว ทำให้ยังพอมีเวลาปรับตัวและสามารถหาเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีก่อนที่ดอกเบี้ยตามสัญญาจะเปลี่ยนไปเป็นช่วงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว

2. กลุ่มที่ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate) กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบเมื่ออัตราดอกเบี้ยในสัญญาถึงกำหนดปรับเป็น Floating Rate เนื่องจากค่างวดที่ชำระในแต่ละเดือนจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น  หากจ่ายค่างวดบ้านเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นก็จะเหลือเงินมาตัดชำระเงินต้นได้น้อยลง

วิธี “ลด” ภาระดอกเบี้ยเงินกู้หรือหมดหนี้บ้านไวขึ้น

1. จัดการรายรับ-รายจ่าย ได้แก่ ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้

ทั้งการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จะช่วยให้มีเงินคงเหลือในแต่ละเดือนเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีเงินเหลือมากขึ้นก็จะสามารถนำเงินที่มีไปโปะหนี้เพิ่ม เพื่อปลดหนี้ให้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายอีกด้วย

อาจเริ่มจากการปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ อย่างค่าลอตเตอรี่ หรือค่ากาแฟ โดยไม่ควรมองข้ามรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เพราะหากสามารถลดได้ เช่น จากซื้อทุกวันเหลือสัปดาห์ละครั้ง หรือลดจำนวนเงินที่จ่ายต่อครั้งลง นอกจากจะดื่มด่ำกับกาแฟแก้วโปรดยิ่งขึ้นแล้ว ยังอาจมีเงินเหลือเป็นก้อนใหญ่จนเราตกใจก็เป็นได้

(ลองคำนวณจำนวนเงินคร่าว ๆ ได้ที่โปรแกรม “เงินหายไปไหน” https://www.1213.or.th/th/Pages/finresilience/moneydetective.aspx) นอกจากนี้อาจมองหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราถนัดหรือสนใจด้วย เช่น ขายของออนไลน์ ขายเสื้อผ้า

2. เจรจาเจ้าหนี้ขอลดดอกเบี้ย และ Refinance

การเจรจาต่อรองขอลดดอกเบี้ยกับเจ้าหนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้และควรทำ เพราะ “หนี้บ้าน” ส่วนใหญ่จะมีอัตราดอกเบี้ย 2 ช่วง คือ ดอกเบี้ยต่ำในช่วงแรกเพื่อจูงใจลูกค้า และมักจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ 3% ใน 3 ปีแรก

ช่วงที่สองเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวซึ่งมักจะแพงกว่าช่วงปีแรก ๆ เช่น MRR (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี) จนสิ้นสุดอายุสัญญา เมื่อเราผ่อนไประยะหนึ่งจนใกล้ถึงช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามสัญญาจะคิดแบบลอยตัว  

ผู้กู้สามารถไปยื่นเรื่องเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย เช่น ปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัวได้ ซึ่งจะช่วยให้ภาระดอกเบี้ยไม่สูงขึ้นไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งยังช่วยปลดหนี้ได้เร็วขึ้นกว่าการจ่ายตามสัญญาไปเรื่อย ๆ โดยไม่ไปขอลด

ใครมีสินเชื่อบ้านอย่ารอช้า รีบดูสัญญาว่าใกล้ช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังจะหมดโปรโมชั่น หรือถูกปรับขึ้นหรือยัง ถ้าใกล้แล้วอย่าลืมไปยื่นเรื่องเจรจาขอลดดอกเบี้ย โดยขอแนะนำว่า ควรเตรียมตัวอย่างน้อย 1 เดือนก่อนที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในสัญญาจะปรับเป็นแบบลอยตัว โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินที่ใช้บริการว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เพื่อประกอบการยื่นเรื่องให้สถาบันการเงินพิจารณา

ประเด็นถัดมาก็คือ “รีไฟแนนซ์” ไปยังสถาบันการเงินอื่นที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินที่เราใช้บริการอยู่

อย่างไรก็ดี ก่อนจะ refinance อย่าลืมคำนึงถึงต้นทุนแฝงต่าง ๆ ด้วยว่าคุ้มกับการ refinance หรือไม่ เช่น ค่าเบี้ยปรับชำระก่อนครบกำหนด ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมจดจำนอง

การเจรจาขอลดดอกเบี้ยและการ refinance จะช่วยให้เราประหยัดดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และชำระเป็นเงินต้นในแต่ละเดือนได้มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เราปลดหนี้ได้เร็วขึ้นด้วย