หนี้เสียทะลัก 8 หมื่นล้าน ธุรกิจบริหารหนี้เพิ่มงบแข่งซื้อ ใครมีโอกาสมากสุด?

ประชาชน พนักงานออฟฟิศ (1)
PHOTO : Mladen ANTONOV / AFP

หลังจากแบงก์เริ่มส่งสัญญาณถึงสถานการณ์หนี้เสียในระบบ ที่ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง สอดรับความเห็นของบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจบริหารหนี้รายใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ที่เริ่มเห็นการเทียบเชิญให้เข้าไปประมูลหนี้จากซัพพลายที่เพิ่มขึ้นในระบบตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านม

ดังนั้นการแข่งขันการซื้อหนี้ในครึ่งปีหลัง จะคึกคักหรือไม่ วันนี้ Prachachat Wealth จะไปค้นหาคำตอบจากคุณกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

Q: สถานการณ์หนี้ด้อยคุณภาพในระบบกว่า 5 แสนล้านบาท ธุรกิจเอเอ็มซีครึ่งปีหลังจะคึกครึ้นแค่ไหนครับ

นายกรกช กล่าวว่า ตอนนี้ในภาพรวมมาตรการความช่วยเหลือที่เป็นพวกวงกว้าง สำหรับแบงก์ที่ช่วยลูกหนี้ไปก็เริ่มหมด ตอนนี้จะเป็นช่วงค่อย ๆ ทยอยดึงลูกหนี้เข้าไปสู่มาตรการการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว และก็เท่าที่เราฟังทุกแบงก์ก็มองว่า NPL กำลังจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ด้วย ของทั้งผู้ประกอบการเอเอ็มซีรายใหญ่ ๆ ทั้ง 3 รายที่จดทะเบียน (Listed) ในตลาดหุ้นไทย ทุกคนก็เห็นภาพแบบเดียวกันว่าเริ่มเห็นซัพพลายหรือเริ่มเห็นการเทียบเชิญให้แต่ละเจ้าเข้าไปประมูลหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่เดือน ก.ค. และเดือน ส.ค.ก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่

ดังนั้นแนวโน้มครึ่งปีหลังผมคิดว่ากิจกรรมการเข้าซื้อหนี้เสียน่าจะคึกคักมากขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยตัวเลขที่เราได้รับมาจากทาง บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์(BAM) ที่เก็บข้อมูลมา

“ปกติแล้วในหนึ่ง ๆ ปี จะมีหนี้เสียออกมาประมูลอยู่ประมาณสัก 6-7 หมื่นล้านบาท ครึ่งแรกของปีนี้ก็ 3 หมื่นล้านบาทไปแล้ว แต่ครึ่งปีหลังน่าจะเยอะกว่านี้อีก ดังนั้นตัวเลขน่าจะขึ้นไปอยู่แถว ๆ สัก 7-8 หมื่นล้านบาทได้ ต้องบอกว่าดีกว่าเมื่อเทียบกับปี 2020 และปี 2021 ที่มีมาตรการช่วยเหลือมาก แบงก์ก็ชะลอไม่เอาออกมาขาย ไม่เหมือนปีนี้ที่มาตรการช่วยเหลือที่เป็นวงกว้างเริ่มหมด ครึ่งปีหลังน่าจะคึกคักมากกว่าเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก”

Q: การแข่งขันการเข้าซื้อหนี้มาบริหาร และเทรนด์ JV ร่วมมือสถาบันการเงิน จะสร้างโมเมนตัมราคาหุ้น-กำไรในอนาคตอย่างไร

นายกรกช กล่าวต่อว่า การแข่งขันดูเหมือนจะเยอะด้วยเช่นกัน เพราะว่าทั้ง BAM บมจ.ยโชกรุ๊ป(CHAYO) และบมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส(JMT) ทุกคนเพิ่มงบในการซื้อหนี้ตามกันหมดเลย ถ้าจำกันได้ JMT เพิ่งเพิ่มทุน CHAYO วอร์แรนต์(Warrant) ก็เพิ่ง exercise ไป ดังนั้นทุกคนมีกระสุนอยู่ในมือเต็มไปหมดเลย ไม่นับผู้เล่นใหม่ที่อาจจะมาจากธุรกิจข้างเคียงเริ่มมาขอไลเซนส์บ้าง หรือว่ามีผู้เล่นใหม่ ๆ ที่แต่เดิมมีเงินอยู่เยอะ ๆ แล้วไม่รู้จะทำอะไร ก็กระโจนเข้ามาในธุรกิจนี้

ต้องบอกว่าการแข่งขันเราเห็นสูงขึ้น เราเห็นราคาประมูลซื้อหนี้ที่แพงขึ้น อาจจะเป็นเพราะหนี้ใหม่ขึ้นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าดูโดยตัวเลขราคารับซื้อแพงขึ้น

ราคารับซื้อหนี้แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว

หนี้ไม่มีหลักประกันแต่เดิมซื้อกันที่ประมาณสัก 5-7% ของมูลค่าเรียกร้องตามสิทธิ ตอนนี้กระเถิบขึ้นไปถึง 10-15% ในบางกองหนี้

หนี้มีหลักประกัน พวกหนี้บ้าน หนี้โรงงาน ก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่เดิมซื้อกันอยู่ที่ 45-50% ตอนนี้บางกองซื้อได้ถึง 55-60% นะครับ ดังนั้นก็เป็นเงาตามตัว ซัพพลายเยอะ การแข่งขันมา และก็ทำให้ราคาที่ประมูลซื้อกระเถิบตัวขึ้นไปนะครับ

แต่ถามว่าเป็นบวกเป็นลบอย่างไร จริง ๆ ก็ยังพอเป็นบวกกับกลุ่มได้อยู่ โดยเฉพาะรายใหญ่ ๆ ที่ Listed เข้ามา เพราะคือ 1.ต้นทุนในการซื้อหนี้ลดลงตามการเข้าตลาด มีเงินทุนมากขึ้น มีแหล่งเงินทุนที่ดีขึ้น ดังนั้นแล้วกลุ่มนี้ยังสามารถบริหารจัดการมาร์จิ้นหรือว่าอัตราการทำกำไรได้ดีอยู่ แม้ว่าราคารับซื้อในช่วงหลัง ๆ เริ่มแพงก็ตาม

Q: โมเมนตัมกำไรช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาส 4 สถานการณ์เป็นอย่างไร

นายกรกช กล่าวอีกว่า ภาพแนวโน้มสั้น ๆ ไตรมาส 3/65 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีกว่าไตรมาส 2/65 เหตุผลก็เพราะว่าการเก็บเงินเริ่มเห็นทำได้ดีขึ้น หลังจากเริ่มเปิดประเทศมาในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.65 เริ่มเห็นการเก็บเงินจากลูกหนี้เร่งตัวขึ้น เดือนที่แย่สุด ๆ คือเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดเยอะ แต่เดือน ก.ค.-ส.ค.ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นผมคิดว่าภาพครึ่งปีหลัง ไตรมาส 3/65 และไตรมาส 4/65 จะเป็นโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2/65

ดังนั้นแนวโน้มกำไรทุกบริษัทจะคล้าย ๆ กัน ก็คือกำไรไตรมาส 3/65 น่าจะบวกขึ้นได้เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/65 และน่าจะดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 ด้วยซ้ำ ที่มีการระบาดโควิดสูง ปีนี้แม้ยังเยอะอยู่แต่ว่าคนเริ่มชินและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว การทำมาหากินเริ่มกลับมา

Q: ประเมินกำไรทั้งปีของ 3 บริษัทบริหารหนี้ และราคาเป้าหมาย อย่างไร

นายกรกช กล่าวเพิ่มว่า ไล่เรียงไปที่พี่ใหญ่มาน้องเล็ก ในมุม BAM คิดว่าปีนี้กำไรสูสีกับปีที่แล้ว ไม่ได้เติบโตขึ้นเยอะ เราทำกำไรไว้ 2,750 ล้านบาท โตขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะว่าปีที่แล้วเขามีทรัพย์สินใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่งที่โอนไปมูลค่าเกือบพันล้าน ตรงนี้ก็เข้ามาช่วยกำไรเขาพอสมควร เมื่อเทียบกับปีนี้ที่จริง ๆ ยังไม่ได้เห็นทรัพย์ชิ้นใหญ่ที่เข้ามาเติมกำไร จริง ๆ ถ้าตัดทรัพย์ชิ้นนั้นออกไป กำไรโตได้เกือบ 20% บนการเก็บเงินปกติ การขายทรัพย์ชิ้นยิบย่อยออกไป แต่ว่าพอดีฐานสูงในปีที่แล้ว

JMT กำไรจะโตแรงกว่า เรามองกำไรปีนี้โตประมาณ 44% จาก 1,400 ล้านบาท ปีที่แล้ว ปีนี้เราทำไว้ 2,020 ล้านบาท หลัก ๆ มาจากการเก็บเงินที่ทำได้ดีขึ้นประมาณกว่า 10% และพิเศษมีพอร์ตกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกันเยอะ ซึ่งตรงนี้จะมีต้นทุนอยู่ ในภาษาเทคนิคจะเรียกว่า พอร์ตที่ตัดต้นทุนหมดแล้ว ก็คือเก็บเงินมาครบหมดแล้ว แต่หลังจากนี้ยังเก็บเงินได้อยู่

ดังนั้นพอเก็บเงินตรงส่วนนี้กลับเข้ามา จะบันทึกเป็นรายได้ทันที พอร์ตตรงนี้ยังใหญ่ขึ้นอยู่ในปีนี้ ก็เป็นตัวที่ช่วยเพิ่มทั้งรายได้และมาร์จิ้นของเขาในปีนี้ กับปลายปีเองเราคาดว่าจะเริ่มมีกำไรจาก JV กับทาง KBANK เริ่มก่อตัวขึ้นมาก็ทำให้ปีนี้กำไรอาจจะโตเยอะ

ส่วนน้องเล็กไม่แพ้กัน CHAYO เรามองว่ากำไรเองก็อยู่ในเกณฑ์ดีในปีนี้ เราประเมินกำไรไว้เติบโตประมาณ 40% หลัก ๆ ปีนี้มีทรัพย์ชิ้นใหญ่มาช่วยอยู่ 1-2 ชิ้น มูลค่าประมาณชิ้นละ 40-50 ล้านบาท กับการปรับพอร์ตไปซื้อกลุ่มหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมากขึ้น แล้วก็ปีนี้เองการเก็บเงินบนกลุ่มลูกหนี้กลุ่มนี้เริ่มทำได้ดีขึ้น มีการตัดต้นทุนไปหมดบ้างเหมือนกัน เหมือนกับ JMT ก็ทำให้การรับรู้รายได้สูงขึ้น

คำแนะนำผมคิดว่าเล่นตัวที่ยัง laggard อยู่ล่าง ๆ น่าจะเซฟกว่า และก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่เป็น Upside Gain มากกว่าอย่าง BAM ที่ผมแนะนำ เพราะภาพกำไรค่อย ๆ ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ถ้ามูลค่าหุ้น(Valuation) ดูเทียบมูลค่าทางบัญชี(Price to Book Value) อยู่แค่ระดับสัก 1 เท่าปลาย ๆ เกือบ 2 เท่า ถ้าเทียบกับ JMT หรือ CHAYO ที่อยู่ระดับถึง 4-5 เท่า ก็แพงกว่าเยอะ

ดังนั้นเล่นตัวถูกอย่าง BAM เราแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21 บาท JMT คำแนะนำของเราเป็นเพียงแค่ “ถือ” เพราะหุ้นรับรู้ข่าวดีไปหมดแล้ว ราคาเป้าหมาย 71 บาท ส่วนตัวสุดท้าย CHAYO เราแนะนำ “ซื้อ” ก็จริง ราคาเป้าหมาย 14.80 บาท แต่ตัวนี้อาจต้องรอไทม์มิ่ง เพราะยังมีประเด็นค้างคากันอยู่เรื่องการโอนขายที่ดินมูลค่า 900 ล้านบาท และมีคดีความเข้ามา ต้องรอศาลตัดสินเดือน พ.ย.65 ถึงจะเห็นความชัดเจน ดังนั้นในช่วงนี้อีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะเป็นช่วงสุญญากาศสำหรับ CHAYO

Q: ความเสี่ยงนอกจากการแข่งขัน ผู้เล่นหน้าใหม่ การลงทุนในธุรกิจนี้มีความเสี่ยงอื่น ๆ อะไรอีกบ้าง

ผมว่านอกจากเรื่องการแข่งขัน ภาพที่สองที่น่าจะเห็นผลกระทบก็คือ ภาพใหญ่เรื่องเศรษฐกิจ กลุ่มนี้ชอบเศรษฐกิจไม่ดีก็จริง เพราะมีซัพพลายออกมาเยอะ แต่อย่าลืมว่าเศรษฐกิจไม่ดี 2 ปีแล้วโดนโควิด เศรษฐกิจต้องฟื้นตัวด้วยเพื่อให้เขาจัดเก็บเงินได้ ดังนั้นปัญหาหลักใหญ่ก็คือเรื่องการเปิดประเทศ การกลับมาของภาคธุรกิจท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้หนี้เสียที่ออกมาก็ส่วนใหญ่จะลิงก์กับธุรกิจท่องเที่ยว ดังนั้นถ้าท่องเที่ยวไม่ฟื้นกลุ่มนี้ก็น่าจะมีปัญหาด้วยเหมือนกันในการจัดเก็บเงิน อาจทำได้ไม่ตามแผน

ภาพที่สามคือภาวะดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก กลุ่มนี้เวลาเขานำเม็ดเงินไปซื้อหนี้เสีย จะไม่ได้ใช้ทุนตัวเอง ส่วนใหญ่จะเป็นการออกหุ้นกู้หรือกู้แบงก์ ฉะนั้นดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นเป็นต้นทุนของเขาเหมือนกัน ในขณะที่เราเห็นราคาซื้อก็แพงขึ้นด้วย ดังนั้นเขาอยู่ในโหมดที่ต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดีด้วยเช่นกัน

ส่วนสุดท้ายคงเป็นหลักเกณฑ์ พวกกฎ ข้อบังคับจากทางการ ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ชาติ รัฐบาล หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ดูแลกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบาง ที่ผ่านการเป็น NPL มาแล้ว ก็ต้องรอดูว่ามีมาตรการอะไรที่เข้ามาควบคุมหรือไม่ หรือมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือเปล่า ถ้ามีอีกโอกาสที่ NPL จะไหล่ออกมาให้ซื้อก็จะช้าลงไป