อีสท์สปริง จับทิศทางลงทุนครึ่งปีหลัง ชู “สหรัฐ-จีน-เวียดนาม-ไทย” ดาวเด่น

หุ้น ลงทุน บอนด์

บลจ.อีสท์สปริง เปิดกลยุทธ์ลงทุนช่วงที่เหลือของปีนี้ ชู 4 ประเทศสหรัฐ-จีน-เวียดนาม-ไทย ดาวเด่นน่าลงทุน 1 ปีข้างหน้าคาดตลาดยังคงเผชิญปัจจัยลบ แนะกระจายพอร์ตลงทุนลดความเสี่ยงและเพิ่มน้ำหนักสินทรัพย์ทางเลือก

วันที่ 31 สิงหาคม 2565 นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ฉายภาพการลงทุนในปี 2565 นี้ว่าเป็นปีที่นับว่าท้าทายอย่างมาก เพราะต้องเผชิญปัญหาทั้งจากเศรษฐกิจโดยตรงและจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิด ทั้งจากมิติทางการเมืองและเศรษฐกิจ ครอบคลุมทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเซีย

ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้ จึงควรจัดพอร์ตลงทุนให้สมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาสทำกำไร เพราะโดยส่วนตัวเชื่อว่าการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป อาจทำให้พอร์ตของผู้ลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนโดยไม่จำเป็น

ด้าน Mr. Bill Maldonado, Chief Investment Officer, Eastspring Investments กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจเอเชียยังคงได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายมาตรการโควิดไม่ว่าจะเป็น ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่สำหรับจีน แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะลดต่ำลง แต่เชื่อว่าการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งมาตรการลดภาษี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ แต่ต้องยอมรับว่ามาตรการรับมือเหล่านี้ใช้เวลากว่าจะสะท้อนให้เห็นจริงในภาคเศรษฐกิจ

ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนและเงินเฟ้อสูง ทองคำ ถือเป็นแหล่งสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าดึงดูด รวมทั้งหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ หุ้นคุณค่า และจ่ายปันผล และด้วยอัตราเงินเฟ้อที่กำลังทำจุดสูงสุดจะเป็นโอกาสในการซื้อตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารยาวขึ้น

สำหรับหุ้นจีนมองว่าจะเห็นนโยบายการคลังและการเงินที่เป็นเชิงรุกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น A-share ของจีน

ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เริ่มมีข้อจำกัดในการแข็งค่ามากขึ้น ส่วนสกุลเงินเอเชีย เราคาดว่าจะยังคงอ่อนค่าจากปัจจัยเฉพาะตัวในแต่ละประเทศ

“การลงทุนในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ยังมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงเป็นสาเหตุของความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในทำนองเดียวกัน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังอาจได้รับผลกระทบจากภาวะหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าเราจะรับรู้ถึงความเสี่ยงเหล่านี้แล้ว แต่ต้องยอมรับว่าเรายังคงต้องระมัดระวัง” Mr. Bill

ขณะที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้บุกเบิกการลงทุนหุ้นเวียดนาม กล่าวว่า เศรษฐกิจเวียดนามในอีก 10-15 ปีข้างหน้ามีโอกาสจะเติบโตแซงหน้าประเทศไทยในหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเวียดนามเป็นประเทศที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเด่น เป็นทั้งแหล่งเงินทุนและเป็นแหล่งผลิตสินค้าของหลายบริษัทใหญ่ ๆ จากทั่วโลกที่เข้ามาตั้งโรงงานฐานการผลิต

แต่ปัจจุบันสิ่งที่เวียดนามยังตามไทยอยู่คือรายได้ต่อหัวของประชาชนของเวียดนามยังต่ำกว่าไทยพอสมควร ซึ่งคิดว่เป็นเรื่องเดียวที่ยังตามไทยอยู่ แต่อนาคตเชื่อว่าเวียดนามจะชนะไทยได้ ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นอีกตลาดอีกน่าสนใจเพราะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนมากในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับมุมมองหุ้นไทย ดร.นิเวศ กล่าวว่า หุ้นไทยไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ เพราะไม่มีปัจจัยที่ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นได้เยอะ ถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาวการลงทุนในไทยจึงไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่

“การลงทุนในรอบนี้แนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนในประเทศที่ไม่มีปัญหาและมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว” ดร.นิเวศ กล่าว

ฟากนายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ได้กล่าวสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงมีมุมมองระมัดระวัง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยยังมีทิศทางขาขึ้น เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเผชิญภาวะถดถอย อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นและตราสารหนี้เริ่มกลับมาน่าสนใจ ในช่วงนี้จึงแนะนำให้เพิ่มสัดส่วนหุ้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับตราสารหนี้

สำหรับการลงทุนหุ้นช่วงแนะนำการลงทุนใน 3 ประเทศที่ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีและมีทิศทางที่ดีขึ้นซึ่งเรามีมุมมองบวกกับหุ้นสหรัฐ ในหุ้นกลุ่มเติบโต เนื่องจากเชื่อว่าหากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุดจะเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน

เนื่องจากในอดีตหลังจากมีการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 2-3 ครั้ง ตลาดจะเริ่มยืนได้ และกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นเมื่อแนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวลงจะส่งผลดีต่อกลุ่มเติบโตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ส่วนหุ้นจีน เราเห็นตรงกันว่าจะยังคงได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำและมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ แม้ว่าอาจต้องเผชิญกับความกังวลจากภาระหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า

ส่วนหุ้นเวียดนาม มองว่าเหมาะที่จะลงทุนในระยะยาว ส่วนหุ้นไทย เรามีมุมมองบวกต่อหุ้นผันผวนต่ำ และหุ้นปันผลสูง เนื่องจากเชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการเมืองน้อย

นอกจากนี้หุ้นไทยในระยะสั้นยังคงไปต่อได้ กำไรภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นซึ่งอาจมาจากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน ทำให้ในระยะข้างหน้าหากราคาน้ำมันปรับลดลงอาจส่งผลกระทบในอนาคตได้

ส่วนภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเชื่อว่าจะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก

แต่อนาคตการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีหน้า คงต้องจับตาดูว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่และการดำเนินนโยบายครั้งใหม่จะสามารถพลิกออกไปสู่โครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ได้หรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป

“แนะการจัดพอร์ตลงทุนโดยไม่ให้น้ำหนักในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป ถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ช่วยลดความผันผวน ระหว่างทางที่ลงทุนได้ทุกสภาวะ และหากผู้ลงทุนมีการจัดพอร์ตที่เหมาะกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้จะยิ่งทำให้ผู้ลงทุนสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องบาดเจ็บระหว่างทาง” นายยิ่งยงกล่าวปิดท้าย