สรรพสามิต วางยุทธศาสตร์ปี’66 ลุยเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต

สรรพสามิตพร้อมขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ปี 2566 ด้วยกลยุทธ์ “EASE Excise” ลุยเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ปักธง 4 เสาหลัก

วันที่ 7 กันยายน 2565 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในปัจจุบันมี 4 เทรนด์ที่ท้าทายต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของกรมสรรพสามิต ได้แก่ 1.การฟื้นตัวจากโควิด-19 ท่ามกลางสงครามการค้าและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น 2.การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของภาคธุรกิจและผู้บริโภค

3.สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ธุรกิจด้านสุขภาพมีการเติบโตมากขึ้น และ 4.ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นตัวขับเคลื่อน จะเห็นได้ว่า บทบาทของกรมสรรพสามิตนอกจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมาตรฐานและผลักดันในเรื่องดังกล่าวโดยใช้มาตรการภาษีสรรพสามิต

“การสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้เติบโต หรือในขณะเดียวกันก็สามารถใช้มาตรการภาษีในการช่วยลดการบริโภคในสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์ ‘ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยภาษีสรรพสามิต โดยมุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน’ เพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนสอดคล้องตามนโยบายภาพใหญ่ของกระทรวงการคลังและภาครัฐ”

ทั้งนี้ ภายใต้การเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ปี 2566 นี้ กรมได้ทำตามกลยุทธ์ “EASE Excise” ซึ่งหมายถึงการเป็นกรมสรรพสามิตที่ยืดหยุ่นมีความคล่องตัว มุ่งสู่การเป็นผู้นำการจัดเก็บภาษี สิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าสู่ความยั่งยืน โดยจะมุ่งดำเนินงานภายใต้ 4 เสาหลัก (Pillar) ได้แก่

เสาที่ 1.ESG/BCG Focus คือการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมศักยภาพให้กับสินค้า/บริการ ในกลุ่ม ESG/BCG เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065 โดยกรมสรรพสามิตมีแนวทางในการสนับสนุนการนำเอทานอลบริสุทธิ์มาใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) เชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยาน (Biojet) ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในขั้นตอนการผลิตสินค้า

อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย การปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ที่จะให้ความสำคัญกับกระบวนการรีไซเคิลเพื่อลดปัญหามลพิษที่เกิดขึ้น นอกจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม กรมสรรพสามิตยังให้ความสำคัญ ในแนวทางการใช้มาตรการภาษีในการลดผลกระทบเชิงสังคม โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพ เพื่อเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน ความมั่นคงของประเทศด้วย

เสาที่ 2.Agile Way of Working คือการทำงานที่เน้นความคล่องตัว พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะหลากหลายและจำเป็นต่อการปฏิบัติงานยุคใหม่ อาทิ Digital Skill, Data Skill เป็นต้น รวมถึงระบบการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ การใช้ระบบการทำงานแบบ Agile และการนำกระบวนการ Design Thinking มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้รวดเร็ว คล่องตัว และสร้างสรรค์ เพื่อเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว

เสาที่ 3.Standardization คือการปรับเปลี่ยนกระบวนงานในทุกมิติเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) และนำประสบการณ์ของผู้เสียภาษีมาสร้างมาตรฐานการให้บริการ (Service Standard) รวมทั้งการนำระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล (ESG) มาใช้ในกรมสรรพสามิต

เสาที่ 4.End-to-End Customer-Centric Service บริการผู้เสียภาษีตั้งแต่ต้นจนจบในทุกช่องทางแบบไร้รอยต่อ (Omnichannel) สร้างต้นแบบหน่วยงานบริการแบบไร้กระดาษ (Paperless) มุ่งสู่การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการดำเนินการสู่ความยั่งยืน

ด้วยยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่กรมสรรพสามิตตั้งใจจะขับเคลื่อนนี้ จะเป็นการวางรากฐานให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน สร้างเศรษฐกิจให้เติบโต ส่งเสริมสังคม และสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยกรมสรรพสามิตจะเน้นการเป็นกลไกสำคัญของประเทศที่ส่งเสริมให้สังคมน่าอยู่ เศรษฐกิจมั่นคงเข้มแข็งและมีเสถียรภาพ

พร้อมทั้งช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศให้มีมาตรฐานสากล สร้างประโยชน์สูงสุด และความยั่งยืนให้กับประชาชนและประเทศชาติต่อไป