เงินบาทอ่อนค่า หลังสมาชิกเฟด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ระบุเฟดอาจต้องผลักดันดอกเบี้ยนโยบายให้สูงกว่า 4.75% หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับตัวสูงขึ้น
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม 2565 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (20/10) ที่ระดับ 38.42/44 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (19/10) ที่ระดับ 38.24/26 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังนายนีล แคชแครี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินนีเอโพลิสเปิดเผยว่า เฟดอาจจำเป็นต้องผลักดันอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงกว่า 4.75% หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับตัวสูงขึ้น แบบต่อเนื่อง
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
นายแคชแครีกล่าวว่า “ตัวเลขที่ผมเสนอนั้นพิจารณามาจากเงินเฟ้อพื้นฐานลดลง” พร้อมเสริมว่า “ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ผมก็ไม่เห็นว่าเราจะหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อย่างไร” สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดส่วนใหญ่คาดว่าจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับ 4.5%-5% ภายในต้นปีหน้า โดยอิงจากการคาดการณ์ที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่ผ่านมาและความคิดเห็นที่เผยแพร่ต่อสาธารณะตั้งแต่นั้นมา
ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของนายแคชแครีส่งสัญาณถึงความพร้อมที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ 12 เขต หรือ Beige Book ในวันพุธ (19 ต.ค.) โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวเล็กน้อยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้กิจกรรมในบางเขตทรงตัวและบางเขตชะลอตัวลง
นอกจากนี้รายงานยังสะท้อนให้เห็นว่า ภาคเอกชนของสหรัฐมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยรายงาน Beige Book ระบุว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ลดลงในระดับหนึ่ง และคาดว่าจะลดลงอีก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกหลายครั้งอาจจะเริ่มส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
นอกจากนี้รายงาน Beige Book ยังระบุว่า บริษัทเอกชนมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแรงลง ทั้งนี้ Beige Book เป็นรายงานที่เฟดเปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ เพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจจากเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งประจำอยู่ใน 12 เขตเศรษฐกิจของสหรัฐ
โดย Beige Book เป็นการรวบรวมข้อมูลจากมุมมองของผู้นำธุรกิจ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในภูมิภาค ทำให้ Beige Book สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 38.07-38.45 บาท/ดอลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 38.21/23 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดเช้าวันนี้ (20/10) ที่ระดับ 0.9760/62 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (19/10) ที่ระดับ 0.9810/12 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร หลังถ้อยแถลงของสมาชิกเฟด ทำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ ในขณะที่ลดการถือครองสกุลเงินยูโรลง ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 0.9754-0.9794 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 0.9785/87 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (20/10) ที่ระดับ 149.90/92 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันพุธ (19/10) ที่ระดับ 149.45/47 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ หลังกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้า 2.09 ล้านล้านเยน (1.394 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นการเกินดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14 เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของเงินเยน
ทั้งนี้ ยอดนำเข้าเดือน ก.ย.ของญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 45.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และนำเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ยอดการนำเข้าขยายตัวมากกว่า 40% เนื่องจากญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว และถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินเยนยังส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้นด้วย ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 149.63-150.08 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 149.86/88 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (20/10), ดัชนีการผลิตเดือน ต.ค. จากเฟดฟิลาเดลเฟีย (20/10), ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน ก.ย. จากคอนเฟอเรนซ์บอร์ด (Conference Board) (20/10)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7/-6.25 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -7/-5.6 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ
