ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ตลาดทุนไทยต้องเผชิญกับโจทย์ท้าทายที่สำคัญอีกครั้ง
เอฟเฟ็กต์จากกรณีการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MORE ที่ไม่ปกติ จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องสั่งหยุดพักการซื้อขายมาแล้วอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และมีแววว่า อาจจะถูกแขวนต่อไปอีก เนื่องจากยังมีเรื่องราวต่าง ๆ ตามมาอีกค่อนข้างมาก
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
เดินหน้าดำเนินคดีฉ้อโกง-ปั่นหุ้น
ด้านหนึ่งคือ กระบวนการตรวจสอบใน “คดีฉ้อโกง” โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ที่เสียหายมากกว่า 10 ราย เข้าไปแจ้งความดำเนินคดีเอาไว้
อีกด้านหนึ่งก็คือ การตรวจสอบในประเด็น “ปั่นหุ้น” ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังรวบรวมเอกสารหลักฐาน ข้อมูลที่เกี่ยวโยง เพื่อส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีเอฟเฟ็กต์อื่น ๆ ที่ตามมาพัวพันอีกหลายเรื่อง ทั้งการที่ ก.ล.ต. สั่งให้คณะกรรมการ บมจ.มอร์ รีเทิร์น ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้บริหารราย นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน และการขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (whitewash)
เนื่องจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เห็นว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรลงมติอนุมัติ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุการณ์ความผิดปกติของราคาหุ้น MORE ซึ่งมีผลกระทบต่อการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและผู้ถือหุ้นที่จะใช้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 พ.ย.นี้ รวมทั้งความจำเป็นของการเพิ่มทุน ในช่วงที่เหตุการณ์ดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ซึ่ง ก.ล.ต.เห็นว่า หลายประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญ และส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหลักทรัพย์ หรือต่อการตัดสินใจในการลงทุนของผู้ถือหุ้น จึงสั่งให้คณะกรรมการ MORE ชี้แจงข้อมูลและนำส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใน 7 วันนับแต่วันที่ 17 พ.ย. 2565 พร้อมให้เปิดเผยข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย
จับตาผลกระทบ “โบรกเกอร์”
ขณะเดียวกัน จากที่หลายฝ่ายกังวลเกี่ยวกับฐานะการเงินของบรรดาโบรกเกอร์ที่ปล่อยมาร์จิ้นให้กับผู้ทำธุรกรรมซื้อขายหุ้น MORE ก็เกิดเคสที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) มีมติให้ บล.เอเชีย เวลท์ หรือ AWS ระงับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว
และให้นำเงินของลูกค้าที่บริษัทนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยที่ลูกค้าไม่ได้อนุญาต มาคืนภายในวันอาทิตย์ที่ 20 พ.ย. 2565
ซึ่งว่ากันว่า เป็นการนำเงินลูกค้าไป “ชำระค่าหุ้น MORE” นั่นเอง
ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าว ส่งผลให้ บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ หรือ NCL ประกาศยกเลิกการลงทุนใน AWS และยกเลิกสัญญาการซื้อขายหุ้นของ AWS ทั้งหมด จากแผนเดิมที่จะเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ AWS ในสัดส่วน 60% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ AWS
ยัน AWS ไม่ใช่ปมสภาพคล่อง
อย่างไรก็ดี “รื่นวดี สุวรรณมงคล” เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. แถลงว่า กรณี AWS ไม่ใช่ประเด็นเรื่องสภาพคล่อง แต่เป็นการนำเงินลูกค้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งอาจจะเข้าข่ายความผิดฐานกระทำการอันไม่เป็นธรรม
ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้เข้าพบ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อสนธิกำลังกันรวมถึงตำรวจ ปอศ. เพื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว
ส่วนประเด็นเรื่องเงินกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีรายงานว่าโบรกเกอร์รายใดมีปัญหาเงินกองทุนติดลบ และ หลายโบรกฯก็ออกมายืนยันด้วยว่า ไม่มีการนำทรัพย์สินของลูกค้าไปใช้
นอกจากนี้ เลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวด้วยว่า ทาง ก.ล.ต.ได้จัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยเรื่องหุ้น MORE ขึ้นมา โดยมีผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และตนในฐานะเลขาธิการ ก.ล.ต. เป็นที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อรวมศูนย์การทำงานตรวจสอบเรื่องนี้ให้รวดเร็วขึ้น
ขณะที่ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุเฉพาะราย AWS เท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทหลักทรัพย์รายอื่น ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์อื่นยังให้บริการตามปกติ อย่างไรก็ตาม กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ มีการติดตามฐานะการเงินของบริษัทหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด
ตลาดหลักทรัพย์ฯเล็งอุดช่องโหว่
นอกจากส่งข้อมูลหลักฐานให้ทาง ปอศ. และ ปปง. เพื่อดำเนินคดี “ฉ้อโกง” ตามที่โบรกเกอร์ได้เข้าแจ้งความไว้แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯยังอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งให้สำนักงาน ก.ล.ต. ดำเนินการเอาผิดเกี่ยวกับการ “ปั่นหุ้น” ด้วย
“ภากร” กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบของตลาดทุนไทย ไม่ให้นักลงทุนตื่นตระหนก ซึ่งย้ำว่าเคสนี้ไม่ใช่เคสใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องการโกง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายโบรกฯเตรียมตัวรับมือไม่ทัน
“อยากให้นักลงทุน และประชาชนมีความมั่นใจในระบบตลาดทุนของไทย ทุกสิ่งที่ทำมาในอดีตมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แต่แน่นอน มีบางอย่างที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ จะใช้เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ปรับปรุงให้ตลาดเข้มแข็งขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและอนาคต ขอให้ติดตามว่า ตลท. และสมาคมหลักทรัพย์ไทย (ASCO) จะทำอะไรต่อไป” กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าว
สุดท้ายนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เอฟเฟ็กต์จากเคสหุ้น MORE จะส่งผลกระทบมากขึ้นหรือไม่ และสามารถเอาผิดใครได้บ้าง รวมถึงจะล้อมคอกอย่างไรต่อไป