เมื่อหุ้นยักษ์ถูก Corner ใครคือเจ้ามือ ? ดร.นิเวศน์ มีคำอธิบาย

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หุ้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูนักลงทุนวีไอ ฉายภาพหุ้นยักษ์ถูก Corner หรือการที่หุ้นถูกซื้อมากกว่าปกติโดยไม่ได้คำนึงถึง “มูลค่าที่แท้จริง” แล้วใครคือเจ้ามือ ?

วันที่ 8 มกราคม 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า ช่วงเร็ว ๆ นี้ ในตลาดหุ้นไทยเราได้เห็น “หุ้นปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นบ่อย คำ ๆ นี้มีความหมายถึงหุ้นที่มีราคาขึ้นไปเร็วและสูงมากจน “เป็นไปไม่ได้” ตามพื้นฐานหรือปัจจัยอื่นยกเว้นแต่จะเป็นเรื่องของ “ปาฏิหาริย์”

แต่ในความคิดของผมแล้ว มันไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์อะไรเลย มันคงเป็นเรื่องของการที่หุ้นถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม” หรือการที่หุ้นถูกซื้อมากกว่าปกติโดยไม่ได้คำนึงถึง “มูลค่าที่แท้จริง” จนหุ้นที่ “หมุนเวียน” ในตลาดเหลือน้อยมาก ซึ่งทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมาก อาจจะเป็น 10 เท่าของราคาก่อนที่จะมีการ Corner ในเวลาอันสั้น อาจจะแค่ไม่กี่เดือน

และหลังจากนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะค้างอยู่สูงประมาณนั้นได้อีกนาน อาจจะเป็นหลายเดือนหรือเป็นปี ๆ ถ้า Corner นั้นยัง “ไม่แตก” แต่บ่อยครั้ง ภายในเวลาไม่นาน หุ้นก็อาจจะตกลงมาอย่างแรง หลายครั้งแทบจะถล่มทลายเมื่อ Corner นั้น “รั่วหรือแตก” เพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจและเทขายหุ้นอย่างไม่คิดชีวิต

เดิมนั้นหุ้นปาฏิหาริย์หรือหุ้นที่ถูก Corner มักเกิดกับหุ้นตัวเล็กที่มีหุ้นหมุนเวียนต่ำ ต่อมาก็เกิดขึ้นกับหุ้นขนาดกลางที่ถูก Corner จนกลายเป็น “หุ้นแสนล้านบาท” อานิสงค์จากนักลงทุนไทยที่มีเงินมากขึ้นมาก หลายคนก็ผันตัวจากการเป็นนักธุรกิจที่อาจจะมองว่าการเล่นหุ้นทำเงินง่ายกว่าธุรกิจมาก

อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่เติบโตขึ้นมากจากการลงทุนโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะในส่วนของการเก็งกำไร ให้ผลตอบแทนที่งดงามในยามที่โลกทั้งโลกอยู่ในภาวะของการเก็งกำไรหนักมากในช่วงโควิด-19

จนถึงในช่วงเร็ว ๆ นี้และถึงวันนี้ การ Corner หุ้นก็ถึงจุดพีกหรือจุดสูงสุด นั่นก็คือ หุ้นที่ถูก Corner หลายตัวกลายเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าสูงขึ้นมากจนติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นที่มี Market Cap. สูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ไทย บางตัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในระดับ “ล้านล้านบาท” ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของธุรกิจนั้นน่าจะอยู่ในระดับกลางเท่านั้นเมื่อเทียบกับหุ้น “Top10” หรือหุ้นระดับกลางอื่น ๆ

ซึ่งนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงกระแสของการเก็งกำไรหุ้นในตลาดสหรัฐในช่วงโควิดที่เราได้เห็นการ Corner หุ้นตัวเล็กอย่างหุ้น “GameStop” และหุ้นขนาดกลางที่กลายเป็นหุ้นยักษ์อย่างหุ้น “Tesla” ซึ่งส่งผลให้หุ้นเทสลากลายเป็นหุ้นยักษ์ที่ท้าทายหุ้น “Top10” ของอเมริกา

อย่างไรก็ตาม หุ้นเทสลาซึ่งตอนที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดนั้น นักลงทุนต่างก็คิดว่าหุ้นเทสลาเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่กำลัง “Take off” บริษัทเริ่มมีกำไรและโรงงานที่เมืองจีนกำลังไปได้สวยมาก เทสลากำลังปฏิวัติโลกของรถยนต์สันดาปภายในให้กลายเป็นรถไฟฟ้าและจะไม่มีผู้ผลิตรายใดที่จะมาแข่งขันอย่างใกล้เคียงได้

ราคาหุ้นขึ้นไป 10 เท่าในเวลาอันสั้นคือปีเดียว Market Cap. ใหญ่กว่ามูลค่าหุ้นรถยนต์ “รุ่นเก่า” ทั้งโลกรวมกัน เป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้อีลอนมัสก์กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกหลังจากที่แทบจะล้มละลายขายทรัพย์สินส่วนตัวเพื่อกู้ธุรกิจก่อนหน้านั้นไม่นาน

อย่างไรก็ตาม Corner หุ้นเทสลาล่าสุดนั้นดูเหมือนจะ “แตก” ลงอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นที่ประมาณ 400 เหรียญเมื่อปลายปี 2564 ตกลงมาเหลือประมาณ 120 เหรียญตอนสิ้นปี 2565 หรือลดลงประมาณ 70% ในเวลาเพียงปีเดียว

หุ้น “Top 10” หรือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของบริษัท 10 อันดับแรกของตลาดหุ้นไทยในวันนี้

ผมคิดว่ามีหุ้นที่น่าจะอยู่ใน Corner ไม่น้อยกว่า 3-4 ตัว และนั่นก็คือหุ้นที่ผมคิดว่ามีมูลค่าสูงกว่าพื้นฐานทางธุรกิจอย่างชัดเจน และเหตุผลที่ราคาหุ้นสูงมากนั้นส่วนสำคัญมาจากการที่มีนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นใคร ซึ่งรวมถึงเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย ได้เข้าไปซื้อหรือไม่ขายหุ้นออกไป

แม้ว่าราคาหุ้นจะสูงเกินพื้นฐานไปมาก และการซื้อหรือไม่ขายนั้น มีมากกว่าความต้องการที่จะขายมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากปริมาณหุ้นที่จะขายมีจำกัด บางทีแค่ไม่เกิน 20-30% ของหุ้นทั้งหมดหรือที่เรียกว่าหุ้นมี “Free Float” ต่ำ

6 ข้อมูลพื้นฐาน 4 หุ้นอยู่ใน Corner

หุ้นที่ผมคิดว่าอยู่ใน Corner จำนวน 4 ตัวนั้น ผมลองมาคำนวณดูพบข้อมูลพื้นฐานดังต่อไปนี้คือ

1.มี Market Cap. โดยเฉลี่ยหุ้นละประมาณ 779,000 ล้านบาท

2.รายได้ “ปกติ” ต่อปีในปี 2565 โดยประมาณจากตัวเลขสูงสุดที่เคยทำได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 72,783 ล้านบาท

3.กำไรต่อปี ประมาณจากกำไรสูงสุดที่ทำได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 13,824 ล้านบาท

4.ค่า P/E ของหุ้นเฉลี่ยถ้าคิดจากตัวเลขเฉลี่ยของข้อ 1 และข้อ 3 ก็คือประมาณ 56 เท่า แต่ถ้าคิดโดยหาค่า P/E ของแต่ละตัวแล้วนำมาเฉลี่ยก็จะได้ค่า P/E ประมาณ 59 เท่า

5.ปันผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 0.33% ต่อปี

6.ที่เป็นสัญญาณบอกว่าอาจจะเกิดการ Corner หุ้นก็คือ Free Float ของหุ้นที่วัดจากผู้ถือหุ้นที่ถือต่ำกว่า 5 อันดับแรกเป็นต้นไปว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ ก็พบว่าเท่ากับ 26%

6 ข้อมูลพื้นฐาน 6 หุ้นไม่อยู่ใน Corner

ตัวเลขของหุ้น Top 10 อีก 6 ตัวที่ไม่น่าจะมีการ Corner เพราะหุ้นมีการกระจายในกลุ่มนักลงทุนทั่วไปและแทบจะไม่มีรายใหญ่เป็นเรื่องราวหรือถ้ามีรายใหญ่ก็เป็นรายใหญ่ที่เป็นรัฐหรือบริษัทจดทะเบียนอื่น พบว่า

1.หุ้นมี Market Cap. โดยเฉลี่ยหุ้นละ 619,126 ล้านบาท เล็กกว่า “หุ้นที่อยู่ใน Corner” เล็กน้อย

2.รายได้ต่อปีของปี 2565 ประมาณว่าอยู่ที่เฉลี่ยบริษัทละ 915,079 ล้านบาท หรือมากกว่าหุ้นที่ถูก Corner กว่า 10 เท่า จริงอยู่ว่ามีหุ้นตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่าปกติมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดหุ้นตัวนี้ออก ค่าเฉลี่ย 5 ตัวก็ยังสูงถึงบริษัทละ 409,165 ล้านบาทต่อปี มากกว่าหุ้นใน Corner ถึงเกือบ 5 เท่า

3.กำไรเฉลี่ยของบริษัทในปี 2565 อยู่ที่ประมาณบริษัทละ 41,797 ล้านบาท สูงกว่าหุ้นใน Corner 4 ตัว ถึง 3 เท่า

4.ค่า P/E เฉลี่ยของหุ้น Top10 จำนวน 6 ตัวอยู่ที่ 14.8 เท่า เทียบกับ 56 เท่า หรือถ้าคิดค่า P/E รายตัวแล้วนำมาเฉลี่ย ก็จะอยู่ที่ 21.8 เท่า เทียบกับ 59 เท่า

5.ปันผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.4% ดีมากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มที่ถูก Corner ที่ 0.33% เท่านั้น

6.Free Float ของหุ้น 6 ตัวนี้เฉลี่ยเท่ากับ 37.9% ซึ่งทำให้การ Corner ทำได้ยากมาก

อาจจะมีคำถามว่าใครเป็น “เจ้ามือ” ในการ Corner หุ้นที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ ผมเองก็ตอบไม่ได้ บางทีอาจจะไม่ได้มีเจ้ามือเป็นเรื่องเป็นราวแบบที่มักจะเกิดขึ้นกับหุ้นตัวเล็กที่เห็นได้ชัดว่าทำได้ง่าย เช่น หุ้นที่มี Free Float เพียงไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ที่ในยุคนี้มีคนสามารถเข้าไปทำ Corner ได้มากมาย

แต่ในกรณีของหุ้นยักษ์ระดับ Top 10 นั้น บางทีคนที่เข้าไปซื้ออาจจะไม่ได้คิดว่าหุ้นนั้นมีราคาแพงกว่าปกติมาก พวกเขาอาจจะเข้าไปเพราะมีคนซึ่งรวมถึงผู้บริหารและนักวิเคราะห์ที่บอกว่าหุ้นเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่จะโตขึ้นไปในระดับโลกภายในเวลาไม่กี่ปี

ดังนั้น ราคาหุ้นที่แพงจัดไม่เป็นประเด็น และนี่เป็น “หุ้นเติบโต” ที่เห็นได้ชัดจากการขยายธุรกิจไปอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรม “แห่งอนาคต”

และสิ่งที่พิสูจน์ว่าเรื่องทั้งหลายจะเป็นจริงก็คือราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปพร้อม ๆ กับผู้บริหารและ/หรือเจ้าของและนักลงทุนรายใหญ่เริ่มเข้าไปไล่ซื้อหุ้นอย่างหนัก ซึ่งก็ดึงดูดให้นักลงทุนที่ชอบเก็งกำไรเข้าไปเล่นและผลักดันให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีกจน “ติดลม” ต่อมาก็อาจจะมาจากผลประกอบการบริษัทที่ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจ หุ้นก็ยิ่งโตขึ้นไปอีก

ถึงจุดหนึ่งหุ้นอาจจะถูกนำไปคำนวณในดัชนีที่ใหญ่ขึ้นซึ่งก็ “บังคับ” ให้กองทุนต้องเข้าไปซื้อหุ้นที่ติดอยู่ในมุมหรือถูก Corner อยู่แล้ว ผลก็คือ ราคาหรือมูลค่าหุ้นก็อาจจะ “ทะลุหลุดโลก” โดยที่หาคนทำไม่เจอ

คำเตือนของผมก็คือ ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นยังไงก็หนีไม่พ้นพื้นฐานที่แท้จริง และการที่หุ้นจะตกลงมาอย่างหนักนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเมื่อ “ความจริงปรากฏ” หุ้นเทสลาเป็นตัวอย่างที่ดี ดังนั้น ถ้าเป็น VI ระยะยาวที่แท้จริงแล้ว เราก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง