เอเซีย พลัส คาดหุ้นไทยปี’66 ทะลุ 1,700 จุด ชู 3 กลุ่มเด่น

เอเซีย พลัส

บล.เอเซีย พลัส ประเมิน SET INDEX ปี’66 ในกรอบ 1,667-1,740 จุด จับตาความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรปชะลอ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยและเอฟเฟ็กต์เก็บภาษีหุ้น ชี้ไตรมาสแรกตลาดหุ้นยังสดใส ชู 3 หุ้นเด่น ปันผล-ได้ประโยชน์จีนเปิดประเทศ-เศรษฐกิจไทยฟื้น

วันที่ 12 มกราคม 2566 นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1/2566 ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงการปรับขึ้นโดยมี 4 ปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

1) ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถือว่าเติบโตโดดเด่นกว่าเศรษฐกิจโลก โดยคาดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP Growth ในปี 2566 ของไทยขยายตัว 3.8% มากกว่าเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวเพียง 2.6% แรงหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวหลังจากจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19

2) กำไรบริษัททะเบียนปี 2566 คาดอยู่ที่ 1.27 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 99.2 บาทหุ้น เติบโต 6% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม non-energy คาดเติบโตได้ถึง 11.7%

3) ทิศทางเม็ดเงิน (Fund Flow) ที่มีแนวโน้มไหลเข้าจากค่าเงินบาทเสถียรภาพของเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า ต้ามดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

4) ความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายใหม่ ๆ ยามเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจากสถิติในอดีตนับจาก 2544-2562 พบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน SET INDEX ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 3.9%

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาดู ได้แก่

1) ความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปที่มีโอกาสสูงที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (Recession) สะท้อนจาก Bloomberg Consensus คาดโอกาสในยุโรปมากถึง 80% และสหรัฐ 65% ซึ่งสร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นภูมิภาครวมถึงบ้านเรา แม้ไทยโอกาสเกิด Recession อยู่ต่ำเพียง 13%

2) การขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแคบลง ซึ่งอาจส่งผลให้ฟันด์โฟลว์ไหลออกได้ โดยเบื้องต้นคาดว่ากนง.อาจปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในช่วงประมาณกลางปี ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นอาจจะยังโตกระโดดแต่เมื่อ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยตลาดหุ้นไทยอาจโตชะลอตัวลง

3) การเก็บภาษีหุ้นคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงไตรมาส 2/66 ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดช่วงปรับสมดุล โดยเฉพาะก่อนเก็บภาษีจริง อาจจะได้เห็นการเทขายออกมา

4) ความผันผวนของหุ้น DELTA ที่อาจจะกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดหลังปรับขึ้นตั้งแต่ พ.ย. 2565 ถึงปัจจุบันปรับขึ้นมาที่ 4.5% จนระดับ PER ของทั้งปี 2566 ขึ้นมาถึง 64 เท่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น DELTA 1% จะกระทบ SET INDEX 0.85 จุด

“ขณะที่เรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้น่าจะไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงต่อตลาด เนื่องจากเฟดน่าจะเหลือการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่กี่ครั้ง และตลาดรับรู้ไปมากแล้ว” นายเทิดศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส ประเมินดัชนี SET INDEX ทั้งปี 2566 อยู่ที่ในกรอบ 1,667-1,740 จุด

โดยกลยุทธ์แนะนำให้ทยอยลงทุนได้ในช่วงไตรมาสแรกเนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ดี แต่ยังคงต้องเลือกหุ้นให้ถูกกลุ่ม (Sector) เพื่อที่ผลตอบแทนจะสามารถเอาชนะตลาดได้ สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็น 3 ธีมหลัก ได้แก่

1) หุ้นจ่ายปันผลดี ซึ่งในช่วงไตรมาสแรก หุ้นปันผลมักจะทำผลงานได้ดีและมีผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดได้ หรือมากกว่า SET INDEX ถึง 3% ดูจากสถิติย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา โดยหุ้นปันผลที่แนะนำจะเป็น AT, ASK, THANI, KTB

2) หุ้นกลุ่ม China play หรือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากจีนที่เปิดประเทศ จากความคาดหวังที่นักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาไทยมากขึ้น แนะนำเป็น AOT, ERW

3) หุ้นกลุ่ม Domestic Consumption หรือหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แนะนำเป็น STEC, GULF, COM7

นอกจากนี้ยังคงมองเห็นโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศ ไม่จะเป็นตลาดหุ้นจีนที่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดขึ้นจากการยกเลิกมาตรการ Zero COVID เร็วกว่าที่คาด ก็แนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นจีนที่เคยได้รับผลกระทบในอดีตน่าจะเริ่มมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีหลังจากนี้ ส่วนในสหรัฐแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง

ขณะที่การลงทุนในยุโรป ให้เน้นลงทุนในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมที่อิงรายได้จากนอกประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้หากใครสนใจลงทุนในญี่ปุ่นก็แนะนำเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารเนื่องจากปัจจุบันราคาค่อนข้างถูก

สำหรับพอร์ตลงทุนสำหรับช่วงครึ่งปีแรก บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้ถือหุ้นไทย 30% หุ้นต่างประเทศ 30% ตราสารหนี้ 20% สินทรัพย์ทางเลือก 10% และส่วนที่เหลือเป็นการถือเงินสด