เมืองไทยประกันชีวิต รุกอาเซียน สถานีต่อไป “อินโดฯ-มาเลเซีย”

เมืองไทยประกันชีวิต

เมืองไทยประกันชีวิต เร่งเครื่องแผนขยายธุรกิจภูมิภาคอาเซียน เดินหน้าศึกษาตลาด “อินโดนีเซีย-มาเลเซีย” หลัง 4 บริษัทใน “กัมพูชา-ลาว-เวียดนาม” ทำกำไรหมดแล้ว ลุยหาพาร์ตเนอร์ศักยภาพสูง “สาระ ล่ำซำ” เผยอาจไปในรูปแบบร่วมทุน-ลงทุนเอง-ซื้อบริษัทประกันทำดิจิทัล

ด้าน “ซีเอฟโอ” แย้มสนใจปล่อยกู้ syndicated loan ร่วมกับแบงก์ โปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐาน-โรงไฟฟ้า เร่งชง คปภ. ผ่อนเกณฑ์ ปลดล็อกข้อจำกัด LTV ห้ามเป็น Lead กางแผนปี 2566 หาจังหวะปรับพอร์ตตราสารหนี้-เสริมลงทุนหุ้น ปั้นผลตอบแทนลงทุน 3-4% จากพอร์ตสินทรัพย์กว่า 6 แสนล้านบาท

วันที่ 31 มกราคม 2566 นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายมุ่งเติบโตสู่ระดับภูมิภาค (go regional)

ซึ่งปัจจุบันมีการขยายการลงทุนไปแล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ การจัดตั้งสํานักงานผู้แทนในประเทศเมียนมา การเข้าถือหุ้นใน 2 บริษัทประกันภัยของกัมพูชา คือ บริษัท Sovannaphum Life Assurance ถือหุ้น 49% และบริษัท Dara Insurance ถือหุ้น 25% ครอบคลุมธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย

นอกจากนี้ ยังมีการร่วมทุนในบริษัท ST-Muang Thai Insurance ใน สปป.ลาว ประกอบธุรกิจ ได้ทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ปัจจุบันถือหุ้น 22.5% ส่วนในเวียดนามได้ร่วมทุนในบริษัท MB Ageas Life โดยเมืองไทยฯถือหุ้น 10%

“เรากำลังมองหาการลงทุนในประเทศอื่นเพิ่มเติม เพื่อขยายการเติบโต โดยเน้นไปประเทศทางใต้ลงไปจากไทย อาจไปในรูปแบบร่วมทุน (joint venture) หรือเข้าไปลงทุนเองทั้งหมด หรืออาจจะไปในลักษณะบริษัทประกันดิจิทัล (pure digital) ก็ได้ ทั้งธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมด้านกฎเกณฑ์และกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมไปถึงกฎหมายของไทยอนุญาตให้เราทำธุรกิจได้ขนาดไหนด้วย”

รุกอาเซียน สถานีต่อไป “อินโดฯ-มาเลเซีย”

นางสาวเมธิรา สังขพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานต่างประเทศ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กล่าวว่า บริษัทได้ขยายการลงทุนไปอาเซียนประมาณ 7 ปีแล้ว ตอนนี้ทั้ง 4 บริษัทมีกำไรทั้งหมด ถือว่าเร็วมาก ๆ โดยมีเบี้ยประกันรวมกันมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทในเวียดนามส่งกำไรมากสุดเป็นอันดับ 1

“บริษัทกำลังศึกษาและสำรวจตลาดอินโดนีเซียและมาเลเซีย เพื่อขยายพอร์ตงานต่างประเทศเพิ่ม โดยกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่มีศักยภาพสูงอยู่ เช่นเดียวกับการขยายธุรกิจประกันวินาศภัยเพิ่มเติมในเวียดนามด้วย โดยตามแผนจะขยายพอร์ตประกันสุขภาพมากขึ้น แต่ในระยะแรกจะยังคงเน้นหนักขายสินค้าที่เข้าใจง่าย เช่น ประกันสะสมทรัพย์ เป็นต้น”

สาระ ล่ำซำ
สาระ ล่ำซำ

สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัท Sovannaphum Life Assurance ในกัมพูชา มีเบี้ยประกันรับรวมเติบโต 24% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มีเบี้ยรับปีแรกเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม ครองมาร์เก็ตแชร์ 34% (ข้อมูลอุตสาหกรรมสิ้นไตรมาส 3/65) “เราค่อนข้างภูมิใจมากสำหรับธุรกิจประกันชีวิตในกัมพูชา เพราะไม่ใช่การแข่งขันกับบริษัทท้องถิ่น แต่เป็นการแข่งขันกับบริษัทต่างชาติรายใหญ่ 3-4 แห่ง ที่เข้ามาลงทุนไม่ต่างจากในประเทศไทย” นางสาวเมธิรา กล่าว

ส่วนบริษัท Dara Insurance มีเบี้ยรับรวมเติบโตกว่า 64% เทียบปีก่อน อยู่ในอันดับ 6 ของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยในกัมพูชา ทั้งนี้ช่วงเกิดวิกฤตโควิด ธุรกิจใหญ่ ๆ หลายแห่งมีการชะลอตัว ทาง Dara Insurance ได้มีการเปลี่ยนกลยุทธ์การทำธุรกิจมาเน้นขายผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้ารายย่อยมากขึ้น จนสามารถมีกำไรเติบโตขึ้นกว่า 14%

“เศรษฐกิจกัมพูชาปี 2566 เริ่มดีขึ้น โดยมีการประมาณการจีดีพีจะโต 4-5% เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าเบี้ยมีโอกาสโตล้อไปได้ โดยพอร์ตหลักมาจากประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (credit life) ขายผ่านธนาคารแคนาเดีย และคู่ค้าหัตถาแบงก์ในเครือธนาคารกรุงศรีฯ”

ขณะที่ ST-Muang Thai Insurance ใน สปป.ลาว มีเบี้ยประกันรับรวมเติบโต 25% เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม ครองมาร์เก็ตแชร์ 51% (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2564) โดยตลาดนี้ค่อนข้างเล็กแต่ก็พยายามจะโตทั้งสองธุรกิจ ซึ่งพอร์ตหลักของธุรกิจประกันชีวิตมาจากเบี้ยประกันสะสมทรัพย์ ประกันตลอดชีพและสุขภาพ โดยเน้นหนักขายผ่านช่องทางตัวแทน

ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัท MB Ageas Life ในเวียดนาม ซึ่งร่วมทุนกับ Ageas ผู้ถือหุ้นของบริษัท และมิลิทารีแบงก์ ปีที่ผ่านมามีเบี้ยรับรวมเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% เทียบจากปีก่อน โดยเบี้ยผ่านแบงก์โตกว่า 62% พอร์ตใหญ่สุดเป็นแบบประกันชีวิตควบการลงทุน (unit-linked) อยู่ในอันดับ 6 ของอุตสาหกรรม

“บริษัท MB Ageas Life นี้ค่อนข้างมีศักยภาพโตสูง เพราะเวียดนามเป็นตลาดที่เติบโตได้อีกไกลจากที่มีประชากรมาก และจีดีพีปี 2565 เติบโตกว่า 8% สูงกว่าคาด โดยเราตั้งความหวังจะโตขึ้นเป็นท็อป 5 ในระยะไม่กี่ปีข้างหน้านี้ให้ได้จากปัจจุบันอยู่อันดับ 8”

สนใจปล่อยกู้ syndicated loan

นายธนัญชัย สัจจะปรเมษฐ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการเงิน (CFO) บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจจะปล่อยกู้ร่วม (syndicated loan) กับธนาคารในโครงการใหญ่ ๆ ที่น่าสนใจ เช่น โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หรือโรงไฟฟ้า เป็นต้น

เพียงแต่เงื่อนไขบางอย่างทำให้ลงทุนได้ยาก เช่น เรื่องอัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน (LTV) ที่ประกันลงทุนได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทั้งหมดของแต่ละโครงการ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย และห้ามบริษัทประกันเป็น lead arranger

“เรื่องนี้พยายามเสนอสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อยู่ เพื่อผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจเข้าไปลงทุนได้จริงมากขึ้น

ปั้นพอร์ต 6 แสนล้าน รีเทิร์น 3-4%

โดยปี 2566 บริษัทคาดหวังจะบริหารผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ให้อยู่ที่ระดับ 3-4% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมาได้ ภายใต้สินทรัพย์รวมมากกว่า 6 แสนล้านบาท โดยกว่า 95% เป็นสินทรัพย์ลงทุน ซึ่งตามแผนยังคงสัดส่วนพอร์ตลงทุนในตราสารหนี้อยู่ที่ 80%

โดยปีนี้เนื่องจากบอนด์ยีลด์สหรัฐรุ่นอายุ 10 ปี เริ่มปรับตัวลง ทำให้จะต้องปรับการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาวที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา โดยพิจารณาอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจและแมตชิ่งกับหนี้ได้ลงตัว

ขณะเดียวกันพยายามเสริมผลตอบแทนโดยไปลงทุนในตลาดหุ้นและกองรีท เน้นกลุ่มบิ๊กแคปเป็นส่วนใหญ่ จังหวะที่เข้าแล้วแต่สภาวะตลาด ถ้าจังหวะดีก็ซื้อเพิ่ม และหากราคาขึ้นมาแรงก็จะเทขายทำกำไรบ้าง ปัจจุบันพอร์ตนี้มีสัดส่วน 13-14% นอกจากนี้ในช่วงหลัง ๆ เริ่มกระจายความเสี่ยงไปลงทุนหุ้นในต่างประเทศมากขึ้น โดยจ้าง global asset manager เข้ามาบริหารพอร์ตประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ตลงทุนหุ้น

ส่วนพอร์ตที่เหลือมาจากปล่อยสินเชื่อแยกเป็นสินเชื่อโดยมีกรมธรรม์ประกัน (policy loan) ให้กับลูกค้า ประมาณ 4-5% และสินเชื่อธุรกิจ (business loan) ให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯรายกลางและเล็กอีก 1-2% รวมถึงมีรายได้ค่าเช่าจากตึกออฟฟิศให้เช่า อย่างตึกเมืองไทยภัทรและตึก 66 tower

“เราคือผู้บริหารด้านความเสี่ยงประกันชีวิต แต่เราต้อง risk management ให้พอ เพราะไม่เช่นนั้นยีลด์ไม่อยู่ ก็เท่ากับความรับผิดชอบของเราจะไม่เกิดตามวัตถุประสงค์ของผู้เอาประกัน” นายสาระ กล่าวเสริมและกล่าวอีกว่า

ภาพรวมเบี้ยประกันของบริษัทปิดสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา มีเบี้ยใหม่เติบโตกว่า 10% และมีเบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น 7% เทียบปีก่อน โดยในปี 2566 คาดว่าจะยังคงเติบโตดี แต่จะเติบโตภายใต้ความมั่นคง

โดยให้ความสำคัญต่อมูลค่ากรมธรรม์ประกันชีวิตหรือผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ (value of new business : VoNB) โดยบาลานซ์พอร์ตสินค้าคุ้มครองชีวิตและสุขภาพไว้เกือบ 70% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นพอร์ตยูนิตลิงก์ สะสมทรัพย์ และประกันกลุ่ม

ข้อมูลล่าสุดในสมาคมประกันชีวิตไทยจนถึงเดือน พ.ย.2565 พบว่าบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต มีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 61,831 ล้านบาท ลดลง 6.5% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ในอันดับ 4 ของอุตสาหกรรมฯ

โดยเป็นผลจากเบี้ยปีต่ออายุและเบี้ยซิงเกิ้ลพรีเมียมติดลบ 12% และ 16.6% ตามลำดับ แต่จากเบี้ยปีแรกที่เติบโตสูงกว่า 29.7% ทำให้เบี้ยใหม่ยังคงเติบโต 4.4% หรือมีเบี้ยใหม่อยู่ที่ 23,175 ล้านบาท