เริ่มใช้ บัตรตั๋วรถไฟฟ้าสายสีแดง-ขสมก. เหมาจ่าย 2,000 บาท/เดือน

บัตร Transit Pass สายสีแดง ขสมก

“กรุงไทย” ผนึก “ร.ฟ.ท.-ขสมก.” ผลักดัน “บัตรเหมาจ่าย” ชำระค่าโดยสาร “รถไฟฟ้าสายสีแดง-รถเมล์ ขสมก.” ด้วยบัตรเดียว ราคาเดียว 2,000 บาทต่อเดือน ชี้ยกระดับคุณภาพบริการเดินทางระบบราง ระบบล้อแบบไร้รอยต่อ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

วันที่ 29 มีนาคม 2566 นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคาร ตระหนักถึงความสำคัญของระบบคมนาคมขนส่งของประเทศที่เป็นกิจกรรมสำคัญทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงทุกวิถีการใช้ชีวิต นำมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ธนาคารจึงได้วางยุทธศาสตร์

โดยกำหนดให้การคมนาคมขนส่งเป็น 1 ใน 5 ระบบนิเวศหลัก (Ecosystems) ที่ธนาคารมุ่งเน้นในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาพัฒนาบริการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ประชาชน และในอนาคตมีแผนเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งมวลชนอื่น เพื่อการบูรณาการตั๋วร่วมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

สำหรับการพัฒนาระบบชำระค่าโดยสารแบบบัตรเหมาจ่าย เป็นการเริ่มและทดลองใช้บริการผ่านระบบ EMV Contactless ซึ่งผู้โดยสารสามารถเดินทางโดยใช้บัตรเหมาจ่ายในการเดินทางระหว่างรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถเมล์ ขสมก.ได้อย่างไม่มีขอบเขต

โดยรถไฟฟ้าสายสีแดงสามารถนั่งได้ถึง 50 เที่ยวหรือ 30 วัน ต่อเดือน เช่นเดียวกัน รถเมล์ ขสมก. ก็สามารถนั่งได้แบบไม่จำกัดตลอด 30 วัน โดยบัตรใบนี้มีมูลค่าต่อเดือน จำนวน 2,000 บาท ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีแดงมีผู้โดยสารกว่า 20,000 คนต่อวัน และรถเมล์ ขสมก. มีผู้โดยสารกว่า 7 แสนคนต่อวัน

“การพัฒนาระบบชำระค่าโดยสารแบบบัตรเหมาจ่ายนั้น ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ในการริเริ่มและทดลองใช้บริการผ่านระบบ EMV Contactless ซึ่งผู้โดยสารสามารถใช้บัตรเหมาจ่ายชำระค่าโดยสาร ในการเดินทางระหว่างรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถโดยสารของ ขสมก. ได้อย่างไร้รอยต่อ

โดยรถไฟฟ้าสายสีแดงสามารถใช้บริการได้ 50 เที่ยว รถโดยสาร ขสมก. ใช้บริการได้ทุกเส้นทาง ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ภายในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งบัตรโดยสารดังกล่าว จำหน่ายในราคา 2,000 บาท (ไม่รวมค่าธรรมเนียมออกบัตร)”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้ร่วมกับ ผู้ให้บริการขนส่งมวลชน ทั้ง ทางด่วน รถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ รวมถึงรถโดยสาร เพื่อเป็นการพัฒนาโครงการระบบชำระค่าโดยสารให้ครอบคลุมในอนาคตต่อไป

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า ร.ฟ.ท. เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคมในเชิงรุก ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายกับระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ

รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมาปรับใช้ในการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งการนำเทคโนโลยี EMV Contactless หรือ Europay MasterCard and VISA ที่เป็นระบบการชำระเงินที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกในการชำระค่าโดยสารในระบบคมนาคมตามมาตรฐานระดับสากล

“จากความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาบัตรเหมาจ่ายไปสู่ระบบตั๋วร่วมที่สมบูรณ์แบบ สามารถใช้สำหรับการเดินทางของประชาชนในภาคขนส่งให้สามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้ในทุกระบบ ด้วยการใช้บัตรโดยสารหรือตั๋วร่วมเพียงหนึ่งใบ หรือสามารถนำไปซื้อสินค้า ชำระค่าบริการต่าง ๆ เชื่อมโยงทุกระบบการชำระเงินได้ภายในอนาคต”

นางพริ้มเพรา วงศ์สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า ตามที่ได้รับนโยบายจากรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาและบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ขสมก.

จึงได้บูรณาการร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และธนาคารกรุงไทย ในการพัฒนาบัตรโดยสารร่วม ที่สามารถใช้บริการได้ทั้งรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. และรถไฟฟ้าสายสีแดง เพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับประชาชน ถือเป็นการนำร่องระบบตั๋วร่วม ระหว่างระบบล้อ และระบบราง เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างความพึงพอใจและประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชน

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนในการสนับสนุนนโยบายตั๋วร่วมของกระทรวงคมนาคมในการสร้างภาพลักษณ์และความร่วมมือที่ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชน ได้ใช้บริการรถโดยสาร และรถไฟฟ้าผ่านบัตรร่วม ในราคาที่เป็นธรรม

สอดคล้องและรองรับกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง บรรเทาความเดือดร้อนของผู้โดยสาร ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน

“บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถรองรับผู้โดยสารทุกท่าน ด้วยความพร้อมของขบวนรถไฟฟ้าในการให้บริการ รวมถึงยังคงตระหนักและให้ความสำคัญกับความตรงต่อเวลา มีความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ และจะมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยการเป็นผู้นำในการเดินรถไฟฟ้าที่มีมาตรฐานในระดับสากลต่อไป”