
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 เหลือ 3.3% จากเดิม 3.4% มองเศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวน ฉุดการส่งออกชะลอตัว จับตาเลือกตั้ง ปัจจัยเสี่ยงการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า กระทบการลงทุนภาครัฐโตต่ำ มองเงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนพลิกแข็งค่า 33 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงหนุนรายได้ภาคการท่องเที่ยว
วันที่ 7 เมษายน 2566 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 3.4% เป็น 3.3% หลังจากที่เศรษฐกิจไทยปีก่อนขยายตัวต่ำเพียง 2.6% แม้ปีนี้น่าจะสามารถเร่งขึ้นมาได้จากการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องเผชิญความผันผวนจากเศรษฐกิจและการเงินโลกที่กระทบการส่งออก
กำลังซื้อในประเทศน่าจะขยายตัวได้ดีตามการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร อาหารและเครื่องดื่ม ขนส่ง และค้าปลีกค้าส่ง แต่หากเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อคนไทยทั่วไป เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ การศึกษาและสุขภาพ อาจเติบโตได้แต่ไม่โดดเด่น นอกจากนี้ ให้รอดูยอดการขายรถยนต์ที่หดตัวในปีก่อนว่าจะฟื้นขึ้นได้มากน้อยเพียงไร
สำนักวิจัยฯตั้งข้อสังเกตว่า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่า GDP มาโดยตลอด มาปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 3.5% สะท้อนว่าการใช้จ่ายของครัวเรือนจะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากภาคการท่องเที่ยวที่สนับสนุนภาคบริการ แต่ไม่สามารถคาดหวังมากกับกำลังซื้อระดับล่าง เพราะรายได้ภาคเกษตรที่อ่อนแอ แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นมาบ้าง ช่วยพยุงกำลังซื้อได้ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า แต่จากปัญหาเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือนสูงที่ยิ่งได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น น่าจะกระทบกำลังซื้อต่อในช่วงไตรมาส 2
แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 อาจมีแรงส่งจากกิจกรรมการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคมโดยเฉพาะเงินที่จะสะพัดเข้าชุมชนต่างจังหวัด เข้าถึงกลุ่มแรงงานรายได้น้อย ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น แต่ไม่มากพอจะสร้างงานและรายได้อย่างยั่งยืน เพียงประคองตัวในช่วงรอจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้นและกระจายไปในหลากหลายพื้นที่
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจะมาจากการล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลกระทบงบประมาณรายจ่ายที่นำมาใช้ไม่ทันภายในวันที่ 1 ตุลาคม รวมถึงการลงทุนภาครัฐเติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า และเอกชนอาจเลื่อนการลงทุนการก่อสร้างโครงการใหม่ น่าจะมีเพียงการก่อสร้างคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่พอจะประคองตัวได้จากความต้องการของคนในประเทศที่เอื้อมถึงและเป็นอุปสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่การเก็งกำไร
ส่วนการนำเข้าเครื่องจักรสำหรับโครงการใหม่ก็อาจเติบโตน้อยกว่าคาดไว้ก่อนหน้าตามเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอในสหรัฐและยุโรป อีกทั้งปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงขึ้น กดดันภาคการลงทุนของไทยปีนี้เติบโตช้ากว่าคาด สิ่งที่พอหวังได้ คือการย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากปัญหาสงครามการค้านี้
ภาคการส่งออกมีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวราว 2.0% ในรูปดอลลาร์สหรัฐ หลัก ๆ มาจากวัฏจักรระยะสั้นของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นขาลง โดยเฉพาะกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ หลังครัวเรือนในสหรัฐและยุโรปสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากจากการระบาดโควิดก่อนหน้านี้จนเกิดกระแสทำงานที่บ้าน (WFH)
ขณะที่กำลังซื้อสินค้ากลุ่มอื่น ๆ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเกษตรแปรรูปและอาหารแปรรูปก็ยังอ่อนแอ แต่ไทยน่าจะยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากรายได้จากการท่องเที่ยวที่ดีกว่าคาด คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะสูงถึง 28 ล้านคน จากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม รัสเซีย ยุโรป สหรัฐ แต่ฝั่งเอเชียตะวันออก
โดยเฉพาะจากจีนอาจฟื้นตัวช้า แต่น่าจะกลับมามากขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี ช่วงไตรมาสสองนี้เป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว อาจเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้คึกคักมากเทียบช่วงไตรมาสแรก
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สำนักวิจัยฯมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งไปสู่ระดับ 2.00% ต่อปี ในรอบการประชุมวันที่ 31 พฤษภาคม เนื่องจากในการประชุมรอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทาง กนง.มีมุมมองห่วงปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาเสถียรภาพการเงินของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบหลังธนาคารบางแห่งในสหรัฐและยุโรปมีปัญหา
“เดิมเรามองว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อหวังให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีกว่านี้ หลังแรงกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐได้ลดลงหลังมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐใกล้สิ้นสุดรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมและนักลงทุนคาดว่าสหรัฐอาจกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ เดือนมีนาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อของไทยได้ปรับลดลงได้ดี โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่ย่อลงตามความเสี่ยงอุปสงค์ที่ชะลอตัว แต่ในช่วงต้นเดือนเมษายน ทิศทางอัตราเงินเฟ้ออาจไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็วเหมือนที่คาดก่อนหน้าจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งน่าจะมีผลให้ทาง กนง. ยังจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีกครั้ง” ดร.อมรเทพกล่าว
ด้านมุมมองเงินบาท มีโอกาสที่เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสสองตามความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ประกอบกับช่วงไตรมาสสอง มักจะเห็นเงินทุนไหลออกในรูปเงินปันผลที่ถูกโอนไปต่างประเทศ และอาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลต่อเนื่องในช่วงนี้
อย่างไรก็ดี สำนักวิจัยฯคาดว่าเสถียรภาพตลาดเงินตลาดทุนน่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะหลังมีความชัดเจนในการคงอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยที่จะมากขึ้น โดยเรามองเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าในระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้