FETCO ชี้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วง 3 “Perfect Storm” เฟดค้างดอกเบี้ยสูงนาน 1 ปี

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กอบศักดิ์ ภูตระกูล

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ชี้สัญญาณเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงที่ 3 ของ Perfect Storm คาดการณ์เฟดค้างระดับดอกเบี้ยสูงนานอย่างน้อย 1 ปี หวั่นกระทบภาวะเศรษฐกิจนาน-ภาวะถดถอยอาจลึกกว่าคาด ด้านผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า “ทรงตัว” การเลือกตั้งของไทยเป็นปัจจัยบวก-ลบ ต่อตลาดทุนมากสุด หวังรัฐบาลใหม่สร้างเสถียรภาพประเทศ

วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงที่ 3 ของ Perfect Storm คือเกิดภาวะถดถอย (Recession) และเกิดวิกฤต (Crises) โดยเห็นได้ชัดในภาคธนาคารของสหรัฐ และจะตามมาด้วยภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐที่กำลังเข้าสู่ช่วงคับขัน ในขณะที่ภาพของเงินเฟ้อเริ่มลดลงและเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2%

โดยการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อต่อสู้เงินเฟ้อ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วทั้งหมด 5% มาอยู่ที่ระดับ 5.25% ทั้งนี้แม้ว่าประธานเฟดจะระบุว่าดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ยังพร้อมจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมในการจัดการเงินเฟ้ออยู่ โดยจะตัดสินใจครั้งต่อครั้งตามข้อมูลที่ปรากฎ

หากการประชุมเฟดครั้งถัดไป เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย ประเมินว่าเฟดจะค้างระดับดอกเบี้ยสูงไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือจนถึงเดือน พ.ค. 2567 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจเป็นระยะเวลานาน และภาวะถดถอยอาจจะลึกกว่าที่คาดไว้ เพราะเฟดเป็นผู้กำหนดความผันผวนของโลก

แต่อย่างไรก็ตามปีนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสของการลงทุนที่ดี เพราะว่าหุ้นจะ Bottom ก่อนเศรษฐกิจถดถอยเสมอ แต่อาจต้องหาจังหวะลงทุนให้ดี

สำหรับภาพตลาดทุนไทยเมื่อปีที่แล้วเป็นหลุมหลบภัย (Safe Heaven) แต่พบว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงสิ้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลง 8.4% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 เนื่องจากมีสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจกว่าตามสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง

โดย 4 เดือนแรกปีนี้มีเงินไหลออกจากหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปกว่า 63,960 ล้านบาท จากเมื่อปี 2565 มีมูลค่าซื้อสุทธิกว่า 196,886 ล้านบาท เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ 4 เดือนแรกปีนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 60,656 ล้านบาท จากมีมูลค่าซื้อสุทธิกว่า 116,285 ล้านบาท เมื่อปี 2565

ทั้งนี้จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Investor Confidence Index) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือน ก.ค. 2566) พบว่าอยู่ที่ระดับ 110.09 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.1% จากเดือนก่อนหน้า โดยยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว

นักลงทุนมองว่าการเลือกตั้งในประเทศเป็นทั้งปัจจัยบวกและลบต่อตลาดมากที่สุด เพราะตลาดทุนไทยชอบเสถียรภาพของรัฐบาล ถ้าได้รัฐบาลที่มั่นคง มีนโยบายชัดเจน ตลาดทุนพร้อมปรับตัวได้ แต่ถ้าเกิดรัฐบาลใหม่ได้เสียงข้างน้อยจะมีเสถียรภาพยาก ตลาดทุนจะมีความปั่นป่วน

นอกจากนี้มีแรงหนุนการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งคาดว่า GDP ไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 3% แต่อย่างไรก็ตามตลาดอาจโดนกดดันจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์เงินเฟ้อได้

โดยเซ็กเตอร์หุ้นยอดนิยมที่แนะนำลงทุนคือ กลุ่มท่องเที่ยว การแพทย์ และธนาคารพาณิชย์ เพราะได้ประโยชน์จากมาร์จิ้นที่มากขึ้นตามอานิสงส์ดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว โดยไตรมาสแรกปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้ว 6.47 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย รัสเซีย และจีน ซึ่งการฟิ้นตัวของตลาดจีนที่เริ่มกลับมาจะช่วยหนุนมากขึ้นกว่าเดิม โดยคาดการณ์กันว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาไทยแตจะระดับ 30 ล้านคน

ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อไทยก็ไม่ได้น่ากังวล เพราะอยู่ที่ 2.67% ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยมากนัก สะท้อนปัญหาเงินเฟ้อของไทยเป็นแค่เรื่องชั่วคราว โดยคาดว่า ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ 1 ครั้ง เพื่อให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2% และพร้อมจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยได้ ซึ่งอาจมีนัยต่อกลุ่มแบงก์ เพราะจะกดดันมาร์จิ้นแบงก์เริ่มคงที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้