
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย SP, NP หลักทรัพย์ SMK เหตุผู้สอบบัญชีไม่ให้ความเห็นต่องบฯ งวดสิ้น มี.ค.66 ฟากบริษัทชี้แจงทำแผนฟื้นฟูยังไม่เสร็จ
วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศขึ้นเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของ SMK หรือ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรณีผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่องบฯ การเงินสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2566 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.2566 และขึ้นเครื่องหมาย NP มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.2566
อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ SMK ต่อไป เนื่องจากอยู่ระหว่างแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถนอนกรณีส่วนผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์
ขณะเดียวกันทางบริษัท ชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัท ได้นำส่งงบการเงินสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 ของบริษัท ซึ่งผู้สอบบัญชีได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงิน โดยไม่แสดงความเห็น ด้วยเหตุที่ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทฯ จากการเข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากบริษัทมีหนี้สินรวมสูงกว่าสินทรัพย์รวมจำนวน 30,469 ล้านบาท และสำรองเงินกองทุนของบริษัทต่ำกว่าเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงที่กำหนดไว้
- บริษัทได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อตาลล้มละลายกลาง โดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องดังกล่าว และ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งศาลให้บริษัทฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัทเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ
- เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 บริษัทได้ยื่นคำร้องต่อศาลลัมละลายกลางเพื่ออนุญาตให้บริษัทดำเนินการค้าปกติที่จำเป็นของบริษัทต่อไปได้ และในวันดังกล่าว ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งศาลอนุญาตให้บริษัทดำเนินการค้าปกติที่จำเป็นของบริษัทต่อไปได้ ทั้งนี้ ภายใต้การกำกับดูแลและความเห็นชอบของหน่วยงานของรัฐ
- บริษัทในฐานะผู้ทำแผนฟื้นฟูกำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการซึ่งรวมถึงแผนการเพิ่มทุนของบริษัทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แผนการเพิ่มทุนและการแก้ปัญหาหนี้สินยังไม่แล้วเสร็จ และแผนการดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้อง ศาลล้มละลายกลางและ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
บริษัท ชี้แจงว่าการที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัท ประจำไตรมาส 1 ปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 ไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหาร แต่เกิดจากผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญตามสถานการณ์ดังกล่าว ข้างต้น