กสิกรไทย แนะเศรษฐี รับมือกฎหมายแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีมีผล ไตรมาส 3

KBank Private Banking

KBank Private Banking แนะลูกค้าสินทรัพย์สูง เตรียมรับมือ 2 จุดเปลี่ยนสำคัญ “กฎหมาย-ภาษี” หลังไตรมาสที่ 3 กรมสรรพากรทั่วโลกเตรียมแลกเปลี่ยนข้อมูล ชี้ เจ้าของทรัพย์สินตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัว

วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นโยบายการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่าง สรรพากรไทยและรัฐบาลชาติอื่น ๆ ภายใต้ความตกลง Common Reporting Standard หรือ CRS กำลังจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร
นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

โดยในเดือนกันยายน กรมสรรพากรไทยจะเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานในต่างประเทศ และจะส่งข้อมูลภายในเดือนมิถุนายนของทุกๆ ปีต่อจากนี้เป็นต้นไป ในทางกลับกัน สรรพากรในต่างประเทศก็มีหน้าที่รวบรวมข้อมูล และนำส่งข้อมูลกลับมาให้กรมสรรพากรไทยเช่นกัน

ในปัจจุบันจะเป็นระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการร้องขอ (Automatic Exchange) และเป็นการแลกเปลี่ยนเป็นประจำทุกปี ส่งผลให้ลูกค้ากลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูงเกิดความตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัวมากขึ้น

มาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ หรือ CRS ตามพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566 ได้กำหนดเงื่อนไขของการรายงานไว้ ดังนี้

ผู้มีหน้าที่รายงาน ได้แก่

1. สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน

2. บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

3. สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น

4. ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต

5. ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

6. ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา

7. ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามประกาศของคณะปฏิวัติฯ

8. ทรัสตีตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน

บัญชีที่จะถูกรายงาน ได้แก่ 1.บัญชีรับฝากเงิน 2.บัญชีรับฝากสินทรัพย์ 3.บัญชีเพื่อการลงทุน 4.กรมธรรม์ประกันชีวิต ข้อมูลที่จะถูกรายงาน ได้แก่ 1.ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี 2.วัน เดือน ปีเกิด และสถานที่เกิด (กรณีบุคคลธรรมดา) 3.เลขที่บัญชี 4.ยอดเงินในบัญชีหรือมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ ดอกเบี้ยที่ได้รับหรือผลประโยชน์อื่น / จำนวนคงเหลือหรือมูลค่าของบัญชี ณ วันสุดท้ายของปีปฏิทิน

“KBank Private Banking มองว่าการบังคับใช้ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี ไม่ว่าจะเป็น การแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีระหว่างสรรพากรไทยและรัฐบาลสหรัฐ (FATCA) รวมถึงรัฐบาลชาติอื่น ๆ (CRS) จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในต่างประเทศ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนภาษีในองค์รวม ทั้งภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคลสำหรับบ้านที่มีธุรกิจในต่างประเทศ หรือมีการจัดโครงสร้างการถือครองทรัพย์สินในต่างประเทศ (Trust) รวมถึงภาษีมรดกที่เป็นมรดกที่อยู่ในต่างประเทศด้วย

สำหรับในอนาคต KBank Private Banking คาดว่าการเรียกเก็บข้อมูลทางภาษีจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากมีการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น การทำธุรกรรมเงินสดจะลดน้อยลง นอกจากนี้ การเก็บภาษีในอนาคตจะใช้ระบบ AI มาพัฒนาการเก็บภาษี

ทำให้ภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น KBank Private Banking มองว่าลูกค้ากลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูงต้องตื่นตัวในการวางแผนทรัพย์สินครอบครัวและต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านภาษีมากยิ่งขึ้นในอนาคต” นายพีระพัฒน์กล่าว

ด้าน นางกรกช อรรถสกุลชัย Chief-Non Capital Market Solution Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แม้ปีนี้จะเข้าสู่ปีที่ 4 ที่ภาครัฐมีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ผู้ครอบครองที่ดินยังสับสนเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ปี โดยในปี 2566 สิ่งที่กระทบต่อการคำนวณภาษีก็คือการเปลี่ยนราคาประเมินที่ดินโดยกรมธนารักษ์ ระหว่างปี 2566-2569

นางกรกช อรรถสกุลชัย
นางกรกช อรรถสกุลชัย Chief-Non Capital Market Solution Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

ซึ่ง 50% ของพื้นที่ที่ราคาประเมินไม่เปลี่ยนแปลง แต่มี 39% ของพื้นที่ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น และ 11% ของพื้นที่ที่ราคาประเมินปรับลดลง โดยราคาประเมินที่ดินที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมากคือที่ดินในบริเวณที่ราคาประเมินกับราคาตลาดมีความแตกต่างกันมาก

KBank Private Banking มองว่า ภาษีที่ดินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากฐานภาษีและอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การลดหย่อนจากการนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ลดลง ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า KBank Private Banking แนะนำให้เจ้าของที่ดินพิจารณาใช้ประโยชน์ที่ดิน

1) เชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้

2) ใช้ประโยชน์เชิงเกษตรเพื่อลดอัตราภาษี

3) ใช้ประโยชน์สาธารณะโดยการร่วมกับภาครัฐเพื่อยกเว้นภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ KBank Private Banking ยังนำเสนอบริการให้คำปรึกษาและบริหารจัดการในการแปลงทรัพย์สินที่ดินมาเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุนโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน (Land Loan for Investment) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทน

“โดยการลงทุนที่ KBank Private Banking แนะนำมีแนวโน้มที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายและเพียงพอในการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างที่ผู้ถือครองที่ดินและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวให้เท่าทันกับตลาด

ซึ่งไม่ต่างกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีทั้งผลตอบแทนที่น่าสนใจและความเสี่ยงที่ต้องระวัง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้รอบด้านหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างการเติบโตให้กับสินทรัพย์ที่มี และไม่ติดกับดักการลงทุน” นางกรกชกล่าวตอนท้าย