ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จากการเปิดเมืองหลังโควิด-19 คลี่คลาย รวมถึงสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว น่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของหุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund : IFF) ดูดีขึ้น แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่
“ณัชพล โรจนโรวรรณ” นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้น IFF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย หลัก ๆ แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 1.ทรานสปอร์ต เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF)
2.โทรคมนาคม อาทิ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) และ 3.โรงไฟฟ้า เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGATIF) เป็นต้น
โดยปัจจุบันหุ้นกลุ่มทรานสปอร์ต อย่าง TFFIF และ BTSGIF ยังไม่ได้กลับมาสู่ระดับก่อนโควิด สะท้อนจากผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสและทางด่วน แต่เริ่มขยับเข้าใกล้ระดับปกติมากขึ้นแล้ว จึงเชื่อว่าแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีน่าจะค่อย ๆ โตแบบอ่อน ๆ ไปได้ในแต่ละไตรมาส
ขณะที่กลุ่มเทเลคอม อย่าง DIF และ JASIF ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างนิ่ง เพราะเป็นสัญญาซื้อสินทรัพย์เข้ากองมาจากสปอนเซอร์ และให้สปอนเซอร์เช่ากลับไปทั้งหมด โดยมีการตกลงค่าเช่ากับระยะเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงจ่ายปันผลที่ค่อนข้างคงที่ เงินปันผลต่อหน่วยในแต่ละไตรมาสเหวี่ยงไม่มาก
ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า มีความหลากหลายมาก อธิบายเป็นกลุ่มยาก แต่ถ้าค่อนข้างนิ่ง คือ EGATIF เพราะรายได้เป็นค่าความพร้อมจ่าย ถ้าโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ ไม่ต้องจ่ายไฟ ก็มีรายได้เข้ามา แต่จะมีลิมิตต่อปี
ซึ่งตามปกติทุกปีจะจ่ายกระแสเงินสด (ปันผลรวมลดทุน) เกือบ 0.80 บาทต่อหน่วย ฉะนั้น หากถือ EGATIF ระยะยาว จนหมดอายุอีก 12-13 ปี ผลตอบแทนจะค่อนข้างคุ้ม
“หุ้นกลุ่มนี้เป็นการลงทุน เพื่อหวังเงินปันผล ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะเคลื่อนไหวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) โดยดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง จะกดดันบอนด์ยีลด์ลดลง จึงยังไม่ค่อยน่าสนใจลงทุน แต่คาดการณ์กันว่าดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
น่าจะถึงจุดพีก หรือขึ้นดอกเบี้ยรอบสุดท้ายในรอบการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ ซึ่งหากเป็นไปตามคาด จะเป็นบวกต่อการลงทุนกลุ่มนี้ เพราะสะท้อนดอกเบี้ยขาลง จึงแนะนำรอไปซื้อตอนนั้นก็ได้”
สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ได้คาดการณ์กำไรสุทธิและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นกอง FIF ในปี 2566-2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 24,894 ล้านบาท และ 22,813 ล้านบาท (ดูตาราง) โดยประเมินว่า BTSGIF จะมีอัตราจ่ายผลตอบแทน จากเงินปันผลสูงสุด
Q 1 หุ้นกลุ่มอินฟราฯฟันด์ รายได้เพิ่มกว่า 11%
ขณะที่ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ไตรมาสแรกปีนี้ หุ้นกลุ่มอินฟราฯฟันด์ มีรายได้รวม 8,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)
และเพิ่มขึ้น 2.12% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) มาจาก DIF จำนวน 3,621 ล้านบาท JASIF จำนวน 2,621 ล้านบาท BTSGIF จำนวน 1,070 ล้านบาท TFFIF จำนวน 497 ล้านบาท EGATIF จำนวน 227 ล้านบาท SUPEREIF จำนวน 224 ล้านบาท และ BRRGIF จำนวน 35 ล้านบาท
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า สำหรับ BTSGIF เนื่องจากสินทรัพย์ของกอง คือรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว (ไม่รวมส่วนต่อขยาย) ซึ่งผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย มีกำไรปกติช่วงไตรมาส 4/2566 (ม.ค.-มี.ค. 2566) ทะลุระดับ 1,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดโควิดระบาด
“ช่วงที่เหลือของปีมองว่าปริมาณการใช้รถไฟฟ้ามีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมา รวมถึงการเปิดรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู ซึ่งเริ่มทดลองวิ่งน่าจะช่วยผู้โดยสารเข้าระบบรถไฟฟ้ามากขึ้นด้วย จึงคาดหวังทำให้ผลการดำเนินงานมีการฟื้นตัวต่อเนื่องตลอดทั้งปี”
ทั้งนี้ บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินกำไรปกติงวดไตรมาส 1/2567 (เม.ย.-มิ.ย. 2566) ของ BTSGIF จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 1,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ)
ภายใต้คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารฟื้นต่อเนื่อง เฉลี่ยอยู่ที่ 5.6 แสนคน/วัน เพิ่มขึ้น 66% YOY และเพิ่มขึ้น 8% QOQ ได้แรงหนุนในเดือน พ.ค. ที่เป็นช่วงเปิดเทอม โดยคาด BTSGIF จะจ่ายผลตอบแทนจากการดำเนินงานจำนวน 0.19 บาทต่อหน่วย
สำหรับภาพทั้งปี 2567 (เม.ย. 66-มี.ค. 67) คาดการณ์กำไรปกติจะอยู่ที่ 5,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% YOY และคาด BTSGIF จ่ายผลตอบแทนจากการดำเนินงาน 0.91 บาทต่อหน่วย ให้ยีลด์สูงถึง 24-25%
“ถ้าลงทุนตอนนี้และรอรับเงินคืนทุนที่ทยอยจ่ายออกมาสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน (ช่วงเดือน ธ.ค. 2572) จะคิดเป็นผลตอบแทน (IRR) อยู่ราว 19% ถือเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างน่าสนใจ”
อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงคือ 1.ผลการดำเนินงานซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าโดยตรง หากมีสถานการณ์ทางการเมืองกระทบบางพื้นที่ก็อาจกระทบต่อการเดินทางได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นที่น่ากังวล
2.กรณีคดีที่ กทม.เจรจากับบีทีเอส เพื่อขยายอายุสัญญาสัมปทาน ซึ่งทาง BTSGIF ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะสัญญาเป็นสายสีเขียวหลักที่มีการทำสัญญาถูกต้องไว้อยู่แล้ว
และ 3.กังวลนโยบายรัฐบาลใหม่ที่อยากให้ค่าโดยสารอยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย แต่คงไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันกับ BTSGIF เพราะสัญญามีการกำหนดไว้ถูกต้องในการปรับราคาขึ้น-ลง
“ในกรณีที่รัฐบาลอยากเดินนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ก็อาจทำได้ แต่ส่วนต่างที่เกิดขึ้น รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยเข้ากอง BTSGIF แทน ฉะนั้นผลการดำเนินงานจะไม่ได้รับผลกระทบ” แหล่งข่าวระบุ