อธิบดีสรรพสามิต สั่งตั้งกรรมการสอบปมเจ้าหน้าที่โทร.เคลียร์รถขนน้ำมันเถื่อนแล้ว

กรมสรรพสามิต
ภาพจาก Facebook กรมสรรพสามิต :: Excise Department

อธิบดีกรมสรรพสามิต สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ปมเจ้าหน้าที่ โทร.เคลียร์รถขนน้ำมันเถื่อน กำชับสอบสวนให้รอบด้าน พร้อมลงโทษผู้กระทำความผิดทั้งวินัยและอาญาให้ถึงที่สุด

วันที่ 8 มิถุนายน 2566 นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ความคืบหน้าภายหลังกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับกุม นายสมบัติ อายุ 47 ปี ในความผิดฐาน “มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี” หรือ “น้ำมันเถื่อน” ได้ที่บริเวณริมถนนเพชรเกษม ทล.4 กม. 308 ขาเข้า ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์

โดยมีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล 15,000 ลิตร เป็นของกลางในคดี และมีการรายงานว่าภายหลังการจับกุมนายสมบัติ ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตรายหนึ่งโทรศัพท์มาขอเจรจาไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติ แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไม่ยินยอม ปฏิเสธกลับไปนั้น

ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงข้าราชการรายดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย. 66) สำหรับการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าน้ำมันดีเซลของกลางทั้งหมดจำนวน 15,000 ลิตร ไม่มีหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิต ถือว่าเป็นการครอบครองสินค้าที่ยังไม่ได้มีการเสียภาษีสรรพสามิต

ซึ่งกรมจะดำเนินการตามมาตรา 203 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีโทษปรับสูงสุด 10 เท่าต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่สรรพสามิตที่ โทร.มาขอเจรจานั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา และเพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้สามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว

กรมสรรพสามิตจึงได้ประสานงานไปยังกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ-บก.ปปป. เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด

“หากมีข้อมูลชี้ถึงผู้บริหารระดับสูง กรมพร้อมนำข้อมูลหลักฐานดังกล่าวมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามระเบียบวินัยราชการโดยไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกรมมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในทุกระดับ และจะนำข้อมูลที่ได้รับไปรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อหามาตรการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงรุกให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และยับยั้งปัญหาการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นต่อไป” นายเกรียงไกรกล่าว