TIA ดันจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฟ้องคดีแบบกลุ่ม – Class Action

TIA

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ร่วมมือ ธปท. สัมมนาสัญจรให้ความรู้การดำเนินคดีแบบกลุ่ม “Class Action” พร้อมเดินหน้ายกร่างจัดตั้ง “ศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์” ครั้งแรกที่จังหวัดขอนแก่น มี 7 กลุ่มผู้นำทางสังคมกว่า 100 คนเข้าร่วมฟัง หวังเป็นกลไกหนึ่งในการดูแลและรับมือ “ภัยในตลาดเงิน และภัยในตลาดทุน” ชี้ 7 มูลฐานความผิดใช้ “Class Action” ได้

วันที่ 9 มิถุนายน 2566 นายยิ่งยง นิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) เปิดเผยว่า สมาคมเดินหน้าให้ความรู้ และผลักดันให้กฎหมายฟ้องคดีแบบกลุ่ม-Class Action เข้ามาเป็นกลไกในการดูแล ช่วยเยียวยาผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหาย

หากเกิดกรณีถูกฉ้อฉล ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการลงทุน โดยเตรียมจัดตั้ง “ศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในการฟ้องคดีแบบกลุ่ม-Class Action” ขึ้นมา และเพื่อให้นักลงทุนและประชาชนเข้าถึงในวงกว้างเพิ่มขึ้น ทางสมาคมได้จัดสัมมนาสัญจรร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปีนี้มีแผนจัดสัญจร 3 จังหวัดคือ ขอนแก่น, เชียงใหม่ และสงขลา

และทั้ง 3 จังหวัดมีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เปิดสาขาเพื่อให้บริการกับนักลงทุน โดย ขอนแก่นมีจำนวน 16 สาขา, เชียงใหม่จำนวน 26 สาขา และสงขลาจำนวน 20 สาขา มีมูลค่าซื้อขายติดท็อป 5 โดยเชียงใหม่มูลค่าซื้อขายอยู่ติดอันดับ 2 ขอนแก่นมีมูลค่าซื้อขายติดอันดับ 4 และสงขลามีมูลค่าซื้อขายอันดับ 5

นายยิ่งยงกล่าวว่า ได้จัดสัมมนาสัญจรครั้งแรก ในจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มผู้นำทางสังคม 7 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มทนายความ กลุ่มนักลงทุน กลุ่มโบรกเกอร์ กลุ่มนักวิชาการด้านกฎหมาย กลุ่มข้าราชการปกครอง และกลุ่มสื่อมวลชนกว่า 100 คนเข้าร่วมสัมมนา

“หากดูตัวเลขสถิติการทำผิดในตลาดทุนยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และจากตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ณ สิ้นไตรมาสแรก ปี 2566 พบว่ามีการดำเนินการปรับทางแพ่งรวมทั้งสิ้น 11 ราย 4 คดี มีมูลค่าปรับทางแพ่งรวมกว่า 84 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่มากกว่าปี 2565 ทั้งปี ที่มีการปรับทางแพ่งทั้งสิ้น 42 ราย จำนวน 8 คดี มีมูลค่าปรับ 74.03 ล้านบาท”

“ส่วนกรณีของ STARK ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ การที่ตลาดทุนไทยมีกฎหมาย Class Action ก็น่าจะเข้ามาดูแลนักลงทุนได้” นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยกล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในการพิจารณาว่า มูลฐานความผิดที่จะเข้าข่ายและใช้ Class Action ได้จะมีประมาณ 7 มูลฐาน ประกอบด้วย 1.ผิดสัญญา 2.การเปิดเผยข้อมูล 3.การเสนอขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต 4.การทุจริตของกรรมการและผู้บริหาร 5.การสร้างราคา 6.การใช้ข้อมูลภายใน และ 7.การครอบงำกิจการ

นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ประธานในการเปิดงานสัมมนาสัญจรกล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และ ธปท.จัดสัญจรให้ความรู้ประชาชนเรื่องภัยการเงินและการลงทุน ขอนแก่นเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรกว่า 1.8 ล้านคน จาก 26 อำเภอ เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

TIA

ซึ่งภัยทางการเงินและการลุงทนอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลากับทุกคน และจากตัวเลขการทำผิดทางคดีออนไลน์ ที่ได้ขอมาจากตำรวจภูธรจังหวัด พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. ถึงวันที่ 12 พ.ค. 2566 มีคดีทั้งหมด 5,500 คดี มียอดเงินที่ถูกหลอกไป 147 ล้าน แต่อายัดได้แค่ล้านกว่าบาท และคดีฉ้อโกงออนไลน์ของขอนแก่นก็สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ดังนั้น การให้ความรู้ การมีมาตรการและเครื่องมือเข้ามาช่วยก็จะสามารถดูแลประชาชนได้

ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น กล่าวเสริมว่า “เทคโนโลยีใหม่ทั้งการซื้อขายและการชำระเงินแบบ Digital ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่ ๆ จึงถือเป็นพันธกิจร่วมกันของภาครัฐและเอกชน ที่จะให้ความรู้กับประชาชนเพื่อรู้ทันและลดอันตรายจากภัยดังกล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการและเดินสายให้ความรู้กับประชาชนต่อเนื่อง ได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะหากดูสถิติตัวเลขต่าง ๆ ได้ลดลงจากช่วงก่อนหน้ามาก และ ธปท.ก็พร้อมสนับสนุนการสัญจร เพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนได้รับข้อมูล มีความเข้าใจ พร้อมรับมือกับภัยที่จะเกิดขึ้น ทั้งจากตลาดเงินและตลาดทุน

ดร.ภูมิศิริ ดำรงวุฒิ รองคณบดีฝ่ายวิรัชกิจและนิติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้ทำวิจัยเรื่องการดำเนินคดีแบบกลุ่มสำหรับผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯกล่าวว่า Class Action สามารถนำมาใช้กับความผิดในตลาดทุน ได้หลายรูปแบบ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ การผิดสัญญาชำระหนี้ในตราสารหนี้ต่าง ๆ เช่นหุ้นกู้ หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้วก็ก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ลงทุนสามารถร่วมกันฟ้องได้ การทำผิดเกี่ยวกับเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ

หากเมื่อถึงเวลา ข้อมูลที่เคยมีการเปิดเผยไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น เปิดเผยข้อมูลจะมีโปรเจกต์ที่จะดำเนินการในอนาคตที่มีนัยสำคัญต่อการเติบโต มีผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้น แต่ไม่ได้ดำเนินโครงการ เมื่อผลปรากฏต่อสาธารณะชัดเจนว่าไม่ได้ลงทุนในโครงการดังกล่าว นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาวิ่งขึ้นก็สามารถที่จะรวมกลุ่มฟ้องได้ เป็นต้น

ดร.ภูมิศิริกล่าวว่า Class Action มีผลบังคับใช้มานานแล้ว แต่ที่ยังไม่มีผลเชิงปฏิบัติ เพราะทนายความยังไม่ค่อยให้ความสนใจ ยังไม่ทราบว่ามีเรื่องของคดีกลุ่ม ซึ่งน่าจะมาจาก Class Action ยังเป็นเรื่องใหม่ อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของค่าตอบแทนอาจไม่ค่อยคุ้มค่า ถึงแม้ว่ากฎหมายจะมีการกำหนดไว้ว่า 30% แต่ ในทางปฏิบัติได้ไม่ถึง 30% เป็นต้น

นอกจากนี้ ทางทีมวิจัยยังพบว่าปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงาน แล้วก็รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ หรือว่าช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีต่าง ๆ การจะเป็น Class Action ได้ส่วนใหญ่จะต้องมีผู้เสียหายเยอะมาก ๆ แต่ในทางกลับกันการทำงานกับผู้เสียหายจำนวนมาก ๆ ที่อยู่กระจัดกระจายกันทั่วประเทศก็เป็นเรื่องยาก และยังมีปัญหาจำนวนสมาชิกกลุ่มที่ได้รับความเสียหาย อาจหายไปในระหว่างการดำเนินคดี

รวมถึงการกลั่นกรอง คัดแยก ยืนยันตัวตนสมาชิกกลุ่มต้องชัดเจน ซึ่งถ้าสมาชิกกลุ่ม ไม่มีความถูกต้องชัดเจน อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์คนที่ไม่ได้เสียหายจริง ๆ เข้าไปปนอยู่ หรือคนที่อาจจะมีส่วนได้ส่วนเสีย หรืออยากจะทำให้คดีไปในทิศทางที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับกลุ่มใหญ่ แต่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเล็ก ๆ แทน เป็นต้น

ดร.ภูมิศิริกล่าวว่า จากการศึกษา Class Action ในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแคนนาดา พบว่าโมเดล ที่เหมาะกับประเทศไทยคือแคนนาดา ซึ่งเป็นโมเดลที่มีการจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นมาอยู่ภายใต้ในเครือข่ายของรัฐ สามารถพูดคุยกับหน่วยงานของรัฐ ประสานงานในลักษณะที่เป็นส่วนกลางได้

ทำให้เกิดการช่วยเหลือคดีได้จริง ๆ และศูนย์สามารถเผยแพร่ความรู้ข้อมูลต่าง ๆ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ มี Network กับองค์กร ทั้งภาครัฐหรือเอกชน เพื่อช่วยเหลือผู้ลงทุนรายย่อยได้ และยังสามารถช่วยตั้งต้นนำเข้าสู่การดำเนินคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action ได้