ทิสโก้มองเป้าหุ้นไทยสิ้นปี 1,600 จุด ชูหุ้นเด่นกลุ่มบริโภคในประเทศ

บลจ.ทิสโก้มองเป้าดัชนีหุ้นไทย (SET index) สิ้นปี 2566 ที่ 1,600 จุด ได้แรงหนุนเงินเฟ้อลด-ท่องเที่ยวฟื้น คาด GDP โต 3.3% แนะจับตาเลือกตั้งนายกฯ-นโยบายใหม่ ครึ่งปีหลังเน้นลงทุนหุ้นบริโภคในประเทศ “ท่องเที่ยว-โรงพยาบาล-ค้าปลีก” ด้านหุ้นต่างประเทศเเนะกลุ่มเฮลท์แคร์-ปันผลดี

วันที่ 12 มิถุนายน 2566 นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับมุมมองการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีเป้าหมายดัชนีที่ 1,600 จุด แรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ลดลงอยู่ในระดับต่ำ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 3.3% แต่ยังคงต้องจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งราคาหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมจะปรับตัวเพื่อสะท้อนผลกระทบด้านบวกและลบจากนโยบายที่ออกมา นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่จะมีผลโดยตรงต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย

จากปัจจัยดังกล่าว จึงมองว่าการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว เช่น โรงพยาบาล ค้าปลีก และท่องเที่ยว และกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้วตั้งแต่ต้นปี และราคาได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว เช่น ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

สำหรับการลงทุนต่างประเทศ บลจ.ทิสโก้มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 13-14 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงในระยะสั้น เป็นโอกาสในการทยอยลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ หุ้นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของเงินปันผล (Dividend Growth) เพราะราคาหุ้นที่ยังเหมาะสมและมีความเสี่ยงต่อภาวะการชะลอตัวได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ

ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐ ยังคงมีความน่าสนใจจากความแข็งแกร่งของบริษัทและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับ AI ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เริ่มมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และเริ่มมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีนจากระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่น่าสนใจ