โฆษกกรมสรรพสามิต เผยอธิบดีมีคำสั่งพักงานเจ้าหน้าที่ปม โทร.เคลียร์ตำรวจขอให้ปล่อยรถบรรทุกลอบขนน้ำมันเถื่อนแล้ว มีผลตั้งแต่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ชี้ “ผิดวินัยอย่างร้ายแรง” พร้อมบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเอาผิดทั้งขบวนการ
วันที่ 16 มิถุนายน 2566 นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวถึงความคืบหน้าการขยายผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ตร.ทล.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับกุมนายสมบัติ อายุ 47 ปี ในความผิดฐาน ‘มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี’ หรือ ‘น้ำมันเถื่อน’ ได้ที่บริเวณริมถนนเพชรเกษม ทล.4 กม. 308 ขาเข้า ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
โดยมีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล 40,000 ลิตร เป็นของกลางในคดี และมีการรายงานว่าภายหลังการจับกุมนายสมบัติ ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตรายหนึ่งโทรศัพท์มาขอเจรจาไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติ แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไม่ยินยอม ปฏิเสธกลับไปเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พบว่าผู้อำนวยการส่วนฯ สำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม เป็นผู้โทรศัพท์ไปยังเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์จริงตามข้อกล่าวหา
ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดวินัยอย่างร้ายแรง และพิจารณาว่าหากเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวยังปฏิบัติในหน้าที่ราชการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ กรมสรรพสามิตจึงมีคำสั่งให้พักราชการตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตได้บูรณาการความร่วมมือกับกองบังคับการตำรวจทางหลวงเพื่อขอความอนุเคราะห์ข้อมูล พยานหลักฐาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวทั้งหมด และที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตทุกระดับ
โดยเฉพาะหลักฐานที่ระบุถึงเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตที่มีการโทรศัพท์มาขอเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติผู้ขับรถขนน้ำมันเถื่อน เนื่องจากจะเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถนำไปขยายผลเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการตามระเบียบราชการให้ถึงที่สุด โดยไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด
นายเกรียงไกรกล่าวว่า จากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมสรรพสามิตและ กองบังคับการตำรวจทางหลวง โดยสถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการ 2 เพื่อตรวจพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ของตัวอย่างน้ำมันของกลาง ผลการทดสอบพบว่าน้ำมันดังกล่าวจัดเป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกันตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560
ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิตถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจึงได้แจ้งให้ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้าของรถบรรทุกน้ำมันดังกล่าวทราบรายงานผลการทดสอบ และได้พาผู้ต้องหาไปยังสำนักสรรพสามิตพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์
โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าน้ำมันจำนวนดังกล่าวข้างต้นเป็นน้ำมันที่ไม่ได้มีการเสียภาษีจริง และประสงค์จะขอเปรียบเทียบคดี และเจ้าพนักงานสรรพสามิตได้เปรียบเทียบปรับและรับชำระภาษีครบถ้วนแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ต้องหาจะมีการเสียค่าปรับครบถ้วนแล้ว กรมสรรพสามิตยังได้มีการขยายผล เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายและทำให้ประเทศชาติเสียหาย โดยกรมสรรพสามิตได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อลงพื้นที่สอบสวนเกี่ยวกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนอย่างรอบด้าน เพื่อเอาผิดต่อผู้กระทำผิดทั้งขบวนการต่อไป
สำหรับสถิติการจับกุมคดีน้ำมันเถื่อนของกรมสรรพสามิตในปีนี้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างชัดเจน โดยล่าสุดช่วง 8 เดือนของปีงบฯ 66 ตั้งแต่เดือน ต.ค. 65-พ.ค. 66 สามารถจับกุมได้ 986 คดีคิดเป็นเงินค่าปรับ 37.7 ล้านบาท มีน้ำมันของกลางปริมาณ 4.13 ล้านลิตร แบ่งเป็นเบนซิน 0.13 ล้านลิตร ดีเซล 2.75 ล้านลิตร น้ำมันชนิดอื่น ๆ 1.25 ล้านลิตร
โดยสถิติเพิ่มจากปี’65 ที่มีสถิติการจับกลุ่มคดีน้ำมันเถื่อนทั้งปีอยู่ที่ 814 คดี คิดเป็นค่าปรับ 30.67 ล้านบาท ปริมาณของกลางรวม 1.63 ล้านลิตร แยกเป็นเบนซิน 0.97 ล้านลิตร ดีเซล 0.31 ล้านลิตร น้ำมันชนิดอื่น ๆ 0.35 ล้านลิตร
ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต สามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ