ประธาน FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า “ทรงตัว” ชี้ปัจจัยการจัดตั้งรัฐบาล/ความไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นมากสุด จับตาเฟดส่งสัญญาณดอกเบี้ย-ลุ้นโหวตเลือกนายกฯ ไทย
วันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 81.62 ปรับขึ้นเล็กน้อย 5.1% จากเดือนก่อนหน้า กลับมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” โดยนักลงทุนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
- เงินอุดหนุนนักเรียน 2567 ช่วยค่าชุด-หนังสือเรียน อนุบาล-ปวช. ได้เท่าไร
- แจกเงินดิจิทัล 10,000 ลุ้นซื้อมือถือ-เครื่องใช้ไฟฟ้า “จุลพันธ์” นัดถกสัปดาห์หน้า
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเงินทุนไหลออก
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนมิถุนายน 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
-ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กันยายน 2566) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) เพิ่มขึ้น 5.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 81.62
-ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลและกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
-หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดธนาคาร (BANK)
-หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ (STEEL)
-ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
-ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ ความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล
“ผลสำรวจ ณ เดือนมิถุนายน 2566 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่ามีเพียงความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น 33.3% อยู่ที่ระดับ 100.00 ในขณะที่กลุ่มอื่นปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลด 10.6% อยู่ที่ระดับ 65.81 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลดลง 50.0% อยู่ที่ระดับ 50.0 และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 6.5% อยู่ที่ระดับ 85.71”
ขณะที่ SET Index ในครึ่งแรกของเดือนมิถุนายน 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นโลก โดยได้รับแรงหนุนจากการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือน SET Index ปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก จากความกังวลต่อปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ไม่มีความชัดเจน ปัญหากรณีบมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK)
ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน รวมถึงแรงขายสุทธิต่อเนื่องของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และความกังวลต่อทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลกหลัง FED ประกาศจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และธนาคารกลางอังกฤษ ปรับขึ้นดอกเบี้ย 50bps
ส่งผลให้ SET Index หลุดกรอบ 1,500 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ก่อนกลับมาปิดที่ 1,503.10 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 โดยปรับตัวลดลง 2.0% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ 47,623 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 8,616.88 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 105,622.96 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การส่งสัญญาณของ FED ที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจหลักอีกหลายประเทศ อาทิ ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่จบ การกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน อีกทั้งเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง
“ส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และประธานสภาผู้แทนราษฎร และความมีเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินและเศรษฐกิจ อีกทั้งภาคการส่งออกของไทยที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง” ดร.กอบศักดิ์กล่าว