
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ตีแผ่ ระบบทุนนิยม สร้างความไม่ยั่งยืน “เหลื่อมล้ำสูง-ฆ่านักลงทุนรายย่อย” แนะนำรัฐบาลใหม่แก้ไขปัญหา-ขับเคลื่อนตั้งแต่เริ่มสร้างความแข็งแกร่งจากฐานราก เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
วันที่ 15 กรกฎาคม 2566 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวในงานเสวนา “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) 2566” เปิดโลกนวัตกรรม ก้าวทันเทรนด์ การเงินยั่งยืน ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจ การเงิน ตลาดทุนไทย ในมิติการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า
ปัจจุบันระบบทุนนิยมถือเป็นแนวคิดในการขับเคลื่อนและพัฒนาการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้สร้างปัญหาทิ้งไว้ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ การทำลายสิ่งแวดล้อม การบุกรุกป่า ปัญหามลพิษ PM 2.5 ทรัพยากรน้ำขาดแคลน ชนบทที่อ่อนแอ และปัญหาแรงงานในชุมชนเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้านความไม่เท่าเทียมของรายได้ ซึ่งพบว่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนที่มีรายได้สูง 20% และกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ 20% มีรายได้เติบโตขึ้นต่างกันถึง 10 เท่า ในขณะที่สัดส่วนการถือครองที่ดินอ้างอิงจากสถิติเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็พบว่ากว่า 80% ของที่ดินในประเทศไทยอยู่ในมือคนรวย และมีประมาณแค่ 0.25% ที่อยู่ในมือคนจน หรือเรียกได้ว่าต่างกันถึง 300 เท่า
นอกจากนี้สัดส่วนของบัญชีเงินฝาก ที่พบว่ามีคนที่มีเงิน 10 ล้านบาทขึ้นไป รวมแล้วเกือบ 2 แสนบัญชี จากทั้งระบบ 110 ล้านบัญชี แต่คนกลุ่มนี้มีเงินเท่ากับครึ่งหนึ่งของระบบแบงกิ้งของไทย และเมื่อนับรวมกับกลุ่มคนที่มีเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไปแล้วรวมกันทั้งสิ้น 1 ล้านบัญชี จะมีสัดส่วนเงินฝากมากกว่า 70% จากปริมาณเงินฝากทั้งระบบ
หรือแม้แต่ปัญหาในตลาดทุนไทย ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “สุสานของรายย่อย” เพราะบางครั้งการพยายามดึงนักลงทุนรายย่อยเข้ามาสู่ตลาดทุนจำนวนมาก แต่ก็ไม่ค่อยปกป้อง ทั้งที่พวกเขาเข้ามาด้วยความหวังจากการนำเงินสะสมเพื่อการเกษียณมาลงทุน แต่มาเจอหุ้นปั่นได้รับความเสียหาย
และกลายเป็นบัญชีร้างเต็มไปหมด อาจจะมีคนทำกำไรได้บ้างแต่แค่ส่วนน้อย ฉะนั้นเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง และถ้าตลาดหลักทรัพย์ฯดำเนินการแก้ไข หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ จะทำให้เป็นตลาดหุ้นไทยน่าเข้ามาลงทุนมากขึ้น และคนคิดไม่ผิดที่จะนำเงินมาลงทุน เพราะรู้สึกปลอดภัย
“คือเรามองเขา (ระบบทุนนิยม) ในแง่ดีเกินไปว่าเขาคือคำตอบในการพัฒนาและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ แต่ลืมมองด้านมืดไปว่าจริง ๆ แล้ว เขาก็สร้างระบบประเภทมือยาวสาวได้สาวเอา จนส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ฉะนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงกันตั้งแต่วันนี้ ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะอยู่กันยากมาก นั่นคือเหตุผลที่เราต้องพูดถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ดร.กอบศักดิ์กล่าว
ฉะนั้นแนวคิดที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการแก้ไขปัญหานี้ที่รัฐบาลใหม่ต้องขับเคลื่อนคือ เริ่มสร้างความแข็งแกร่งจากฐานรากไปสู่คนระดับบน เพราะคนกลุ่มบนที่มองว่าเป็นหัวรถจักรสำคัญคงไม่ใช่ทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นเราต้องเข้าใจลงไปถึงระดับชุมชนและช่วยผลักดันเอสเอ็มอีให้เข้มแข็งเพื่อจะได้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งมีหลายโครงการที่ดำเนินการไปร่วมกันได้ ทั้งเอกชน ภาคการเงิน และตลาดทุน
“วันนี้ถ้าฐานมันอ่อนแอ ข้างบนไม่มีทางเข้มแข็ง ดังนั้นเราต้องทุ่มสรรพกำลังสร้างฐาน นี่คือหัวใจ ทำยังไงที่เศรษฐกิจไทยจะมีฐานที่เข้มแข็ง แต่การเอาเงินไปสาดให้จะไม่ยั่งยืน โดยมองปัญหาตอนนี้คือ 1.ปัญหาหนี้นอกระบบ 2.ปัญหาระบบคนกลางที่ครอบครองส่วนต่างมากเกินไป 3.ปัญหาขาดแคลนความรู้และนวัตกรรมใหม่”
“ฉะนั้นวิธีแก้ไขคือ 1.สร้างผู้นำเข้มแข็ง 2.รวมกลุ่มชุมชนเพิ่มอำนาจต่อรอง 3.ส่งเสริมเอกชนเข้ามาสนับสนุนชุมชน ซึ่งแลกกับการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และ 4.ภาครัฐต้องลดข้อจำกัดในด้านกฎระเบียบต่าง ๆ ด้วย” ดร.กอบศักดิ์กล่าว