
สินมั่นคงประกันภัย ไตรมาส 2 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 408.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รับรายได้-กำไรจากการลงทุนพุ่ง ค่าสินไหมลดลง แจงไม่ยอมรับ คปภ. สั่งปรับประวิงจ่ายเคลมโควิด ตอนนี้อยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน
วันที่ 10 สิงหาคม 2566 นายเรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด(มหาชน) หรือ SMK รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 408.26 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 113.03% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 3,132.18 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้รวม 1,470.50 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 683.52 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม2,154.03 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 31.73% และมีค่าใช้จ่าย 960.78 ล้านบาท ลดลง 4,387.35 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราลดลง 82.04% จึงส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3,540.44 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลักดังนี้
1.บริษัทมีเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้ 1,470.50 ล้านบาท ลดลง 32.27% เป็นผลมาจากรายได้เบี้ยประกันภัยรับลดลงจากปีก่อน
2.รายได้และกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 10.08 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,197.85% เมื่อเทียบกับปีก่อนสาเหตุหลักเกิดจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น 3.73 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 51.85% รับผลกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 6.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 100% เนื่องจากไตรมาส 2/2565 มีผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุน
3.ค่าสินไหมทดแทนอยู่ที่ 770.55 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 10,284.99 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 93.03% สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของสินไหมทดแทนโควิดจำนวน 9,556.83 ล้านบาท
4.สำรองความเสี่ยงภัยที่ยังไม่สิ้นสุดในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6,374.52 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 100% เนื่องจากไตรมาส 2/2565 การรับประกันภัยโควิดสิ้นสุดความคุ้มครองลง
5.ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ขาดทุน 53.36 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการกลับรายการค่าปรับเกี่ยวกับการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด ที่บันทึกบัญชีในปี 2565 จำนวน 250.07 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทไม่เห็นพ้องด้วยกับมติคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ของสำนักงาน คปภ. และไม่ยอมรับการเปรียบเทียบปรับ โดยปัจจุบันอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวน
นอกจากนี้ตามที่บริษัทได้นำส่งงบการเงินไตรมาส 2/2566 ซึ่งผู้สอบบัญชีได้สอบทานและรับรองงบการเงิน โดยไม่ให้ข้อสรุปด้วยเหตุที่ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัท ดังต่อไปนี้
การเข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟูกิจการ : ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุข้อ 2 (ข) เกี่ยวกับหลักการบัญชีที่ได้ใช้ในการดำเนินงานต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทมีหนี้สินรวมสูงกว่าสินทรัพย์รวมจำนวน 30,061 ล้านบาท และสำรองเงินกองทุนของบริษัทต่ำกว่าเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงที่กำหนดไว้ ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุข้อ 2 (ค) และ 2 (ง)
บริษัทได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางโดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องดังกล่าว และเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งศาลให้บริษัทฟื้นฟูกิจการและตั้งบริษัทเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ
และเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 บริษัทได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่ออนุญาตให้บริษัทดำเนินการค้าปกติที่จำเป็นของบริษัทต่อไปได้ และในวันดังกล่าวศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งศาลอนุญาตให้บริษัทดำเนินการค้าปกติที่จำเป็นของบริษัทต่อไปได้ ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลและความเห็นชอบของหน่วยงานของรัฐ
บริษัทในฐานะผู้ทำแผนฟื้นฟูกำลังอยู่ในระหว่างการขออนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการซึ่งรวมถึงแผนการเพิ่มทุนของบริษัทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 บริษัทได้นำส่งแผนฟื้นฟูกิจการแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ อย่างไรก็ตามแผนการดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้องศาลล้มละลายกลาง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
บริษัทจึงขอชี้แจงว่าการที่ผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่องบการเงินของบริษัทงวดไตรมาส 2/2566 ไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจำกัดขอบเขตหรือผู้บริหาร แต่เกิดจากผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญตามสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น