(Update) ส่องหุ้นโรงพยาบาลครึ่งแรกปี’66 รายได้-กำไร ดูดีแค่ไหน ?

หุ้นโรงพยาบาล

ส่องผลประกอบการหุ้นโรงพยาบาล งวดไตรมาส 2 ปี 2566 และงวดครึ่งปีแรก ปี’66

วันที่ 12 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทจดทะเบียนกลุ่มโรงพยาบาลหลายแห่ง ทยอยได้แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2566 และงวดครึ่งปีแรก ปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) กันออกมาแล้ว ลองมาดูกันว่าแต่ละแห่งผลงานเป็นอย่างไรบ้าง

PR9 : บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)

ไตรมาส 2 ปี 2566 : บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 1,015.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 จาก 980.0 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 และมีกำไรสำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 2566 จำนวน 121.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับกำไรสำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวน 124.8 ล้านบาท

ครึ่งปีแรก : บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 1,983.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จาก1,959.2 ล้านบาท ในงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 และมีกำไรสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 จำนวน 229.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18.5 จาก 281.8 ล้านบาท ในงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565

BDMS : บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)

ไตรมาส 2 ปี 2566 : บริษัท และบริษัทย่อย มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 24,372 ล้านบาท เติบโต 11% จากไตรมาส 2/2565 มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษาพยาบาล 10% จากการเติบโตของศูนย์การแพทย์แห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence-COE) ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ 22% และรายได้จากผู้ป่วยชาวไทย 7% จากไตรมาส 2/2565

Advertisment

บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 5,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 3,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาส 2/2565

ครึ่งปีแรก : บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมมีจำนวน 48,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากครึ่งปีแรกของปี 2565 มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่ารักษาพยาบาล 7% โดยมีการเติบโตที่ดีจากรายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติ 30% อย่างไรก็ดี รายได้ผู้ป่วยชาวไทยในครึ่งปีแรกของปี 2566 ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกของปี 2565 เนื่องจากการลดลงของรายได้ที่เกี่ยวกับ COVID-19 ในขณะที่รายได้ผู้ป่วยชาวไทยที่ไม่เกี่ยวกับ COVID-19 (Thai-Non COVID) เติบโตสูงถึง 25% จากครึ่งปีแรกของปี 2565

บริษัทและบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 11,497 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2% และมีกำไรสุทธิจำนวน 6,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากครึ่งปีแรกของปี 2565

BH : บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)

ไตรมาส 2 ปี 2566 : บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 6,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1 จาก 4,954 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 กำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.9 เป็น 1,748 ล้านบาท จาก 1,166 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเป็นร้อยละ 28.4 ในไตรมาส 2 ปี 2566 เทียบกับร้อยละ 23.5 ในไตรมาส 2 ปี 2565

Advertisment

เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2502 เพื่อวัดผลการดำเนินงานของไตรมาสปัจจุบันกับช่วงก่อนโรคระบาด covid รายได้รวมและกำไรสุทธิของไตรมาส 2 ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 และร้อยละ 141.1 ตามลำดับ จากไตรมาส 2 ปี 2562 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเป็นร้อยละ 28.4 ในไตรมาส 2 ปี 2566 เทียบกับร้อยละ 16.8 ในไตรมาส 2 ปี 2562

ครึ่งปีแรก : บริษัทมีรายได้รวม 12,235 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.4 จาก 9,106 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกของปี 2565 กำไรสุทธิในครึ่งปีแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.2 เป็น 3,331 ล้านบาท จาก 1,891 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2565 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเป็นร้อยล 27.2 ในครึ่งปีแรกของปี 2566 เทียบกับร้อยละ 20.8 ในครึ่งปีแรกของปี 2565

เปรียบเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 เพื่อวัดผลการดำเนินงานของไตรมาสปัจจุบันกับช่วงก่อนโรคระบาด covid รายได้รวมและกำไรสุทธิของครึ่งปีแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.8 และร้อยละ 84.4 ตามลำดับ จากครึ่งปีแรกของปี 2562 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเป็นร้อยละ 27.2 ในครึ่งปีแรกของปี 2566 เทียบกับร้อยละ 20.1 ในครึ่งปีแรกของปี 2562

EKH : บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน)

ไตรมาส 2 ปี 2566 : บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 2/2566 จำนวน 310.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.73 จากจำนวน 246.9 1 ล้านบาท ในไตรสมาสที่ 2/2565 สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้เข้ารับบริการทั้งในส่วนของผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน และมีขาดทุนจากตราสารทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน ซึ่งบริษัทได้ลงทุนใน บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) และบันทึกอยู่ในค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 56.00 ล้านบาท ส่งผลทำให้มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/2566 จำนวน 26.10 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 46.46 จากจำนวน 48.75 ล้านบาท ในไตรสมาสที่ 2/2565

ครึ่งปีแรก : บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 610.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.36 จากจำนวน 524.78 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนปี 2565 สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้เข้ารับบริการทั้งในส่วนของผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน และการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น หรือกำไรจากตราสารทุนที่วัดมูลค่ด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไร

ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 2/2566 มีขาดทุนจากตราสารทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน ซึ่งบริษัทได้ลงทุนใน บริษัท เดอะคลีนิกด์ ดลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) (KLINIQ) ซึ่งบันทึกอยู่ในค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 56.00 ล้านบาท ส่งผลทำให้มีกำไรสุทธิในงวด 6 เดือนของปี 2566 จำนวน 104.44 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.22 จากจำนวน 123.19 ล้านบาทในงวด 6 เดือนในปี 2565

CHG : บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน)

ไตรมาส 2 ปี 2566 : บริษัทมีอัตรากำไร ขั้นต้นลดลงจาก 46.24% เปีน 23.24 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 31% เป็น 11% เมื่อเทียบกับตรมาส 2 ปี 256 สืบเนื่องมาจากรายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 ลลงและการปรับลดรายได้ 46 ล้านบาทจากผลต่างการรับชำระเงินในส่วนของรายได้ค้างรับจากการการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมถึงการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ส่งผลให้มีอัตราต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าแรงและค่าเสื่อมราคาที่เริ่มรับรู้ในปลายไตรมาสนี้

ในไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 206.0 ล้านบาท ลดลง 672.2 ถ้านบาท คิดเป็นอัตราลคลงร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565

ครึ่งปีแรก : บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 49.67% เป็น 24.41% ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 34% เป็น 12% เมื่อเทียบกับงวค 6 เดือน ปี 2565 สืบเนื่องมาจากรายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 ลคลงอย่างมีสาระสำคัญ และการปรับลดรายได้ 46 ล้านบาทจากผลต่างการรับชำระเงินในส่วนของรายได้ค้างรับจากการการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

และในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลได้มีการขยายอัตรากำลังรวมถึงลงทุนในเครื่องมือแพทย์ต่างๆ เพื่อรับรองการรักษาผู้ป่วยในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อกลับสู่ภาวะปกติทางบริษัทจึงมีอัตราต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากทั้งจำนวนพนักงานและอัตราค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ปรับตัวมากขึ้น ค่าเสื่อมจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิลดลง

สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 446.4 ล้านบาท ลคลง 1,788.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือน ปี 2565