ภากร ชี้ 3 ปัจจัยหนุนกำไร บจ.ไทยแข็งแกร่ง

หุ้นไทย

ดร.ภากร แนะลงทุนหุ้นไทยต้องเลือกรายกลุ่ม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวรูปแบบ K-Shaped ธุรกิจจึงฟื้นตัวไม่เท่ากัน ชี้ 3 ปัจจัยหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แข็งแกร่งแม้ว่าเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมาจะโตต่ำกว่า 3%

วันที่ 2 กันยายน 2566 ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวในงานสัมมนา KAsset Investment Forum : ปรับพอร์ตรับโลกเปลี่ยน 2024 ของบริษัทจัดการกองทุนกสิกรไทย ถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ หรือที่เรียกกันว่าฟื้นตัวแบบ K-Shaped โดยเฉพาะการส่งออกที่ก่อนหน้านี้ดีมาก แต่ตอนนี้กลับดูไม่ค่อยดี รวมถึงการท่องเที่ยวที่ก็ยังกลับมาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นตลาดหุ้นไทยในการลงทุนต้องเลือกเป็นรายกลุ่มเพราะแต่ละกลุ่มฟื้นตัวไม่เท่ากัน เวลาถ้ามองภาพรวมจึงดูไม่ค่อยดีนัก

“ในปีนี้จะเห็นได้ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นอื่น ๆ เนื่องจากเรื่องของการส่งออกที่ติดลบและการเมืองที่สร้างความกังวล ต่างจากปีก่อนที่มีเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามากว่า 2 แสนล้านบาท แต่ปีนี้ไหลออกไปกว่า 1 แสนล้านบาท ดังนั้นอาจจะเป็นเพราะตลาดผิดหวังที่แม้ว่าปีนี้แม้เศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นแต่ส่วนใหญ่ก็คาดว่าน่าจะโตได้มากกว่านี้” นายภากรกล่าว

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

ทั้งนี้แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาจะโตต่ำกว่า 3% เกือบทุกปี แต่จะเห็นว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังคงสามารถทำกำไรได้ดี ปัจจัยสำคัญมาจาก 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

1.รายได้จากต่างประเทศ ซึ่ง บจ.มีกำไรจากต่างประเทศเฉลี่ยเกือบ 40% หรือในบางบริษัทมีกำไรจากต่างประเทศมากกว่า 50% เพราะฉะนั้นบริษัทในไทยหลายแห่งไม่ได้ทำธุรกิจภายในประเทศอย่างเดียวแต่เป็นในต่างประเทศ ดังนั้นกำไรจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในประเทศ

ยกตัวอย่างกลุ่มที่มีกำไรจากต่างประเทศ เช่น กลุ่มการเกษตรและอาหารมีกำไรจากต่างประเทศถึง 81% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 53%

2.ฟันด์โฟลว์ปี 2565 ไหลเข้ามาค่อนข้างมากกว่า 2 แสนล้านบาท ขณะที่ปีนี้ไหลออกไปกว่า 1 แสนล้านล้าน ดังนั้นจะเห็นบรรยากาศของเงินในโลกในชีวิตดอกเบี้ยขาขึ้นมันจะหายไป แต่ถ้าดอกเบี้ยไม่ขึ้นแล้วหรือเริ่มลดลงบรรยากาศของเงินลงทุนจะกลับมาแต่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยและทำให้ดัชนีปรับตัวดีขึ้น

3.บริษัทในไทยที่ทำธุรกิจบริหารได้ดีในเรื่องของความยั่งยืน (sustainability) เป็นกลุ่มที่มีผลประกอบค่อนข้างดีมาก ดังนั้นสะท้อนได้กว่าการลงทุนในบริษัททีีมีการบริหารด้านความยั่งยืนที่ดีจะได้ผลตอบแทนที่ดี

“ทั้งนี้ย้อนไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 30-40 ตัวต่อปี และตอนนี้แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่บริษัทต่าง ๆ ฟื้นตัวกลับมาดีกว่าช่วงโควิดแล้ว และประเทศไทยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกที่บริษัทจดทะเบียนที่ความแข็งแกร่ง” นายภากรกล่าว