วิบากกรรม “สินมั่นคงประกันภัย” 27 ก.ย. ชี้ชะตาโหวตแผนฟื้นฟูกิจการ

สินมั่นคง

วิบากกรรม “สินมั่นคงประกันภัย” 27 ก.ย. 66 ชี้ชะตาโหวตผ่านแผนฟื้นฟูกิจการ

วันที่ 25 กันยายน 2566 บริษัทประกันภัยที่โดนหางเลขจากกรมธรรม์โควิด “เจอจ่ายจบ” ถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย เพราะทำให้เกิดวิกฤตสภาพคล่องจนต้องปิดกิจการบริษัทประกันวินาศภัยไปกว่า 4 บริษัท

27 ก.ย. ชี้ชะตา “สินมั่นคง”

จนกระทั่งถึงกรณี บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK ที่อยู่ในกระบวนการยื่นขอฟื้นฟูกิจการ โดนตั้งผู้ทำแผนคือ “บมจ.สินมั่นคงประกันภัย” ซึ่งจะมีความชัดเจนหลังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะจัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อโหวตแผนฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 27 ก.ย. 2566 เวลา 09.30 น. โดยเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

หรืออีกแค่เพียง 2 วันเท่านั้น ที่จะกำหนดชะตากรรม “สินมั่นคงประกันภัย” ว่าจะสามารถเดินหน้าฟื้นฟูกิจการตามแผน คล้าย ๆ แนวทาง บมจ.การบินไทย (THAI) ได้หรือไม่ หรือท้ายที่สุดแล้วต้อง “ล้มละลาย” สู่กระบวนการถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยสำนักงาน คปภ. จากภาวะ “หนี้สินล้นพ้นตัว”

วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” จะพาไปย้อนรอยวิบากกรรม “สินมั่นคงประกันภัย”

โดย “สินมั่นคงประกันภัย” ถือเป็นบริษัทที่มีความเก่าแก่บริษัทหนึ่งในประเทศไทย เพราะอยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 72 ปี เริ่มดำเนินธุรกิจประกันภัยมาตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2494 ถือเป็นหนึ่งในผู้นำในการรับประกันภัยรถยนต์ ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมีผลกำไรสะสมทุกปีต่อเนื่อง จนกระทั่งมาเจอวิกฤตเคลมสินไหมโควิด “เจอจ่ายจบ”

ADVERTISMENT

ซึ่งตอนนั้นมีภาระจ่ายเคลมประกันโควิดกว่า 41,875 ล้านบาท แต่ได้นำเงินจากกำไรสะสมทั้งหมดมาชำระสินไหมโควิดไปกว่า 11,000 ล้านบาท แต่มียอดคงค้างของผู้ยื่นเคลมประกันโควิดอีกประมาณ 350,000 ราย คิดเป็นค่าสินไหมประมาณ 30,000 ล้านบาท

หนี้โควิดเกือบ 3 หมื่นล้าน

และจากการให้ยื่นขอรับชำระหนี้ช่วงขอยื่นฟื้นฟูกิจการ ข้อมูลความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2566 พบว่า ตอนนี้มีเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำนวนทั้งสิ้น 295,320 ราย รวมเป็นมูลหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน 29,273.52 ล้านบาท

ADVERTISMENT

โดยแผนฟื้นฟูกิจการ “สินมั่นคงประกันภัย” เบื้องต้นผู้ทำแผนได้มีการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์ออกเป็น 18 กลุ่ม เจ้าหนี้โควิดจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 (เจ้าหนี้ค่าสินไหมโควิด เจอจ่ายจบ และ 2 in 1 ที่ยังไม่ได้รับการชำระ) และกลุ่มที่ 3 (เจ้าหนี้ค่าสินไหมโควิด เจอจ่ายจบ และ 2 in 1 ที่ได้รับการชำระแล้วบางส่วน)

โดย SMK ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯถึงการสรุปแผนการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหน้าโควิดดังนี้

จ่ายเงินสด 15%

– ส่วนที่ 1 เจ้าหนี้โควิดได้รับชำระด้วยเงินสด 15% ของหนี้เงินต้นพร้อมกัน ไม่เรียงตามลำดับก่อนหลัง
(ตามคิว) ภายใน 45 วัน นับจากวันที่ได้รับเงินจากผู้ลงทุน หากบริษัทได้รับเงินจากผู้ลงทุนเพิ่มมากกว่าที่กำหนดไว้ จะนำมาชำระหนี้เพิ่มเติมให้กับเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ทุกรายตามสัดส่วนภาระหนี้เงินต้น (Pro Rata basis)

ทั้งนี้ผู้ร่วมลงทุนจะชำระเงินภายใน 1 ปี นับจากวันที่ศาลเห็นชอบด้วยแผน หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่ใช่ความผิดของผู้บริหารแผน หรือหากผู้บริหารแผนเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มมูลค่าได้สูงขึ้นกว่าจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ ให้ผู้บริหารแผนสามารถขยายกรอบระยะเวลาออกไปได้ แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันครบกำหนดเดิม

แปลงหนี้เป็นหุ้น 85%

– ส่วนที่ 2 เจ้าหนี้โควิดได้รับชำระหนี้ด้วยหุ้นบุริมสิทธิ 85% ของหนี้เงินต้นส่วนที่เหลือ ภายใน 60 วัน
นับจากวันที่ได้รับเงินจากผู้ลงทุน (โดยหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลพิเศษจากการฟ้องร้องคดีปกครอง) หากบริษัทชนะคดีปกครอง

ดังนั้นเงินที่อาจได้รับจากการชนะคดี (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีในศาลปกครองดังกล่าวทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบแผน ตามจำนวนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ตลอดจนชดเชยเงินขาดทุนสะสม (หากมี) จะถูกนำมาจัดสรรในรูปแบบเงินปันผลพิเศษ ให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิตามสัดส่วนจำนวนหุ้นบุริมสิทธิของผู้ถือหุ้นแต่ละราย โดยให้จัดสรรให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับจากวันที่บริษัทได้รับเงินจากการชนะคดีปกครองดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่เกินจำนวน 1,000 บาท ต่อ 1 หุ้นบุริมสิทธิ

ทั้งนี้ SMK มีระยะเวลาดำเนินการตามแผนไม่เกิน 5 ปี นับจากวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน หรือเว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย

ไตรมาส 2 สินมั่นคง มีกำไร 408 ล้าน

ดังนั้นในการประชุมวันที่ 27 ก.ย.นี้ ถือเป็นการวัดใจเจ้าหนี้ เพราะแม้จะมีเสียงสะท้อนออกมาว่าแผนดังกล่าวไม่ค่อยเป็นที่พึงพอใจของเจ้าหนี้ แต่ตามที่ “เรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์” กรรมการผู้จัดการบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SMK ได้รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า

ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 408.26 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3,540.44 ล้านบาท หรือ +113.03% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 3,132.18 ล้านบาท 

จุดนี้คาดว่าน่าจะพอทำให้เจ้าหนี้ “ชั่งน้ำหนัก” เพื่อใช้ในการตัดสินใจโหวตแผนครั้งนี้ได้ เพราะจากกระแสข่าวที่ออกมาว่า หลายคนจะไม่โหวตแผน และไปรอรับเงินก้อนเต็มจำนวนจาก “กองทุนประกันวินาศภัย” ซึ่งยังไม่รู้เลยว่ากว่าจะถึงคิว ต้องใช้เวลากี่ปี

เตรียมพร้อมโหวตแผนฟื้นฟู

สุดท้ายอย่าลืมสำหรับการลงมติในวันประชุมเจ้าหนี้ (e-Meeting) ในวันที่ 27 ก.ย. 2566 ต้องมี e-Mail เพื่อใช้ในการลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนการเข้าร่วมประชุม (1 อีเมล์ ต่อเจ้าหนี้ 1 ราย)

อย่างไรก็ตาม หลังวันที่ 27 ก.ย. 2566 หากกรณีมติที่ประชุมโหวตไม่ผ่านแผนฟื้นฟูกิจการ จะกลับมารายงานกระบวนการหลังจากนี้ให้ทราบต่อไป