InnovestX ชี้นโยบายรัฐกระตุ้น GDP ปีหน้าโต 4.1% หุ้นไทยวิ่งขึ้น 100 จุด สิ้นปีนี้ 1,650 จุด

นายสุกิจ อุดมศิริกุล

“อินโนเวสท์ เอกซ์” ประเมินเศรษฐกิจโลกยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ชะลอตัวแบบ “Soft Landing” ไปจนถึงกลางปี 2567 อเมริกาปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า-เศรษฐกิจยุโรปเปราะบาง-จีนยังชะลอตัว ฟาก ”เศรษฐกิจไทย“ ปีนี้โตแค่ 2.7% ลุ้นแรงหนุนภาคท่องเที่ยวไตรมาส 4 คาด GDP ปีหน้าโต 4.1% แต่มาจากแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐแค่ 1% เหตุยังมองเห็นความไม่ชัดเจนของระดับเงินที่ใช้ ด้านเป้าดัชนีหุ้นไทยวิ่งขึ้น 100 จุด สิ้นปี 1,650 จุด ปีหน้าแตะ 1,750 จุด

วันที่ 25 กันยายน 2566 นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 4/2566 ประเมินการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น แต่เป็นลักษณะปรับตัวลงไม่แรง (Soft Landing) และมีแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวไปจนถึงกลางปี 2567

เศรษฐกิจโลกยังไม่ถึงจุดต่ำสุด

โดยภาพเศรษฐกิจโลกจากนี้ต้องจับตาภาคบริการ ที่คาดว่าจะค่อย ๆ ชะลอตัวลง จากก่อนหน้านี้ถูกกดดันจากภาคการผลิต ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยโลกยังมีโอกาสที่จะทรงตัวในระดับสูงไปสักระยะ ฝั่งอเมริกามีความเสี่ยงจาก Government Shutdown, ความกังวลภาคอสังหาริมทรัพย์, การลดอันดับความน่าเชื่อถือ และหนี้ครัวเรือน ที่จะเป็นอุปสรรคกระทบเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวลงในช่วงหลังจากนี้

นายสุกิจ อุดมศิริกุล

ส่วนฝั่งยุโรปภาวะดอกเบี้ยยังปรับขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ด้านฝั่งเศรษฐกิจของประเทศจีนพบว่าการชะลอตัวเริ่มไม่แรงแล้ว เพียงแต่ปัญหาจีนไม่ใช่ปัญหาระยะสั้นแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังแก้ไม่จบ อย่างไรก็ดีมีลุ้นว่าช่วงไตรมาส 3/2566 เศรษฐกิจจีนจะเริ่มเข้าสู่จุดสมดุลขึ้น จากที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ตลาดคาดเศรษฐกิจจีนปีนี้จะโต 4%

“ตอนนี้ภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวยังไม่ถึงจุดต่ำสุด แต่ว่าจะไม่ถึงจุดที่เป็นเศรษฐกิจถดถอย“ นายสุกิจ กล่าว

เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.7%

สำหรับภาพเศรษฐกิจไทย จากช่วงครึ่งปีแรกการเติบโตยังไม่แรง สะท้อนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ออกมาไม่ดี ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากภาคส่งออก ภาคเอกชนชะลอการลงทุน และการบริโภคเริ่มแผ่ว ส่งผลให้ตลาดเริ่มปรับลดประมาณการจีดีพีของไทยลงเหลือเติบโตในกรอบกว่า 3% จากเดิมโตระดับ 3.5-3.6%

เราประเมินจีดีพีปีนี้เติบโตแค่ 2.7% สะท้อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังไม่ดูดีมาก แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ที่เรามองว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดไปแล้ว เหตุผลเพราะความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเริ่มฟื้นตัวจากการที่รัฐบาลเริ่มเข้ามาทำงานขับเคลื่อนประเทศ หนุนให้ภาคเอกชนเริ่มกลับมามีกิจกรรมในเชิงของการลงทุนและอื่น ๆ มากขึ้น

ซึ่งจะผลักดันเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 3 และฟื้นตัวแรงขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยภาคการส่งออกอาจจะยังไม่กลับมา ต้องหวังแรงส่งภาคการท่องเที่ยวที่มีมาตรการฟรีวีซ่า ซึ่งต้องลุ้นตัวเลขนักท่องเที่ยวสิ้นปีโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน

ปีหน้า GDP โต 4.1%

“เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 โตแค่ 2.7% และปี 2567 จะเติบโต 4.1% โดยรวมแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 1% จากเดิมที่คาดเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัว 3.1% เหตุที่มาตรการรัฐรวมทุกมาตรการบวกเพิ่มแค่ 1% นั้นคือ

1.ยังมองเห็นความไม่ชัดเจนของระดับเงินที่ใช้กระตุ้น โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จึงยังไม่ให้น้ำหนักมาก มองแบบ Conservative ไปก่อน ส่วนดอกเบี้ย กนง.ปีนี้คาดว่าจะคงดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 2.25% แต่ปีหน้าหากเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น มีโอกาสจะขึ้นดอกเบี้ยได้เพื่อสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจ“ นายสุกิจกล่าว

นายสุกิจ อุดมศิริกุล

หุ้นไทยวิ่งขึ้น 100 จุด สิ้นปี 1,650 จุด ปีหน้าแตะ 1,750 จุด

นายสุกิจกล่าวต่อว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ติดลบประมาณ 10% ถือว่าให้ผลตอบแทนสู้ตลาดหุ้นต่างประเทศไม่ได้ โดยฝั่งตลาดหุ้นอเมริกาค่อนข้างให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่น

อย่างไรก็ดีหลังผ่านการเลือกตั้งของไทยและมีความชัดเจนการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2566 ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัว หมายถึงว่าปรับตัวลดลงน้อยกว่าฝั่งตลาดหุ้นอเมริกาที่ปรับขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้

เพราะฉะนั้นจึงมองว่าน่าจะเป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ในการเริ่มเห็นตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นดีกว่าตลาดอื่น ประกอบกับการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยจะยิ่งเป็นปัจจัยทำให้ภาพในปี 2567 จะเป็น “แสงสว่างที่ชัดเจน”

ประเมินเป้าหมายดัชนีของปีนี้ 1,650 จุด มีอัพไซด์ประมาณ 100 จุด จากดัชนี SET Index ปัจจุบัน โดยประเมินเป้าหมายดัชนีสิ้นปีหน้าไว้ที่ 1,750 จุด เป็นไปตามผลประกอบการ บจ.ที่จะกลับมาเติบโต ทั้งนี้มองดาวน์ไซด์ของดัชนีซึ่งเป็นสัญญาณเข้าซื้อในปีนี้ ไว้ที่ระดับ 1,500-1,550 จุด ผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 5-7% โดยจะเป็นจุดที่ความเสี่ยงต่ำ ชอบหุ้นกลุ่มขนส่ง ธนาคารพาณิชย์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์

ส่วนหุันกลุ่มที่กังวล/หลีกเลี่ยงคือ เกษตร ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี

สำหรับหุ้นเด่นไตรมาส 4/2566 คือ AOT ตามทราฟฟิกเติบโตแข็งแกร่ง กำไรเติบโตแข็งแกร่ง และ BCH กำไรฟื้นตัว การปรับเพิ่มอัตราการเหมาจ่ายของประกันสังคม Valuation สมเหตุสมผล

CRC กำไรฟื้นตัว ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ KCE แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง อุปสงค์ฟื้นตัว การเติมสินค้าคงคลังของจีน กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว KTB กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง