สมาคมนักวิเคราะห์ฯ หั่นเป้า SET สิ้นปี 1,606 จุด เปิด 5 หุ้น เพิ่มน้ำหนักลงทุน

set
ภาพจาก AFP

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หั่นเป้าดัชนี SET Index ปีนี้เหลือ 1,606 จุด กาง 5 หุ้น เพิ่มน้ำหนักลงทุนไตรมาส 4 คาดกำไรปี 2567 เติบโต 12.03% เสนอรัฐบาลผลักดันนโยบายหนุนเศรษฐกิจ-ลงทุน

วันที่ 2 ตุลาคม 2566 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนช่วงไตรมาส 4/2566 ว่า คาดการณ์จุดสูงสุดของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2566 เฉลี่ยที่ระดับ 1,619 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,468 จุด และเป้าหมายดัชนีสิ้นปีมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,606 จุด ซึ่งลดลง 34 จุด จากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1,630 จุด แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

– เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 14.80%

               

– กองทุนตราสารหนี้ 21.20%

– หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 25.68%

– หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 24.12%

– ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.7%

– กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือรีท 6.5%

นายสมบัติ นราวุฒิชัย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA)

โดยการลงทุนหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนเทคโนโลยี กองทุนรวมกลุ่มประเทศอาเซียนจากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง ส่วนการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก พาณิชย์ การแพทย์ และการท่องเที่ยว หุ้นแนะนำคือ

1. ADVANC โดยมองว่าแนวโน้มกำไรกลับมาเติบโตดีหลังการแข่งขันลด และได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว

2. AOT มองว่าได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดประเทศ และจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ดังนั้นคาดว่าจะมีผลประกอบการกำไรแบบเต็มปีในปี 2567

3.BDMS ได้ประโยชน์จากการเดินทางข้ามประเทศฟื้นตัวและการขยายตัวของคนไข้ทั้งในและต่างประเทศจากกลุ่มลูกค้าประกัน ประกันสังคม และต่างชาติ 4. CPALL คาดกำไรฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้และปี 2567 จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ

4.TOP ปัจจัยสนับสนุนจากกำไรฟื้นตัวตามแนวโน้มค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น มองครึ่งปีหลังของปี 66 จะมีค่าการกลั่นเฉลี่ยยืนเหนือ 8 เหรียญ/บาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัว และได้แรงหนุนจากความคืบหน้าแผนเพิ่มประสิทธิภาพตอบโจทย์ตลาดในอนาคต

และให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจน็อนแบงก์ ปิโตรเคมี และสำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงคือหุ้น DELTA เนื่องจากราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและต้นทุนพลังงาน

โดยปัจจัยที่มีผลเชิงลบต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปีนี้คือ ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ ทิศทางดอกเบี้ยเฟดและดอกเบี้ย กนง. รวมถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจของโลก ส่วนปัจจัยเชิงบวกคือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2567

โดยคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปีหน้าของตลาดเฉลี่ยจะขึ้นไปที่ 99.47 บาท และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.03% ในส่วน EPS ปีนี้จะเฉลี่ยที่ 89.04 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 93.21 บาท และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2566 อยู่ที่ 6.51% ส่วนปัจจัยอื่นคือ เศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังจะฟื้นตัว และฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย

สำหรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในปี 2567 มีนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ถึง 77.28% ที่คาดว่าดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.50% รองลงมามี 9.09% มองว่าจะลงไปที่ 2.25% และมี 9.09% มองสวนว่ายังจะขึ้นต่อไปที่ 2.75% และมี 4.55% มองว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปอยู่ที่ 3%

สมมุติฐานหลัก ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ ปรับขึ้นจาก 80.53 เหรียญ/บาร์เรล มาเป็น 83.02 เหรียญ/บาร์เรล คาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2566 จากเดิมที่ 3.38% (ก.ค. 2566) ลดลงมาเหลือ 2.85% ส่วน GDP ปี 2567 มองเป็นบวกที่ 3.56% และ Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93% และ Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.02%

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Land Bridge ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ โปรโมตและกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในอุตสาหกรรม New S Curve

และตามมาด้วยเสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชน ได้แก่ เร่งพัฒนาแรงงานไทย กระตุ้นการจ้างงาน ลดการแจกเงินทั่วไป เพิ่มการแจกเงินเฉพาะกลุ่มรวมถึงช่วยเหลือภาระหนี้ของเกษตรกร ข้าราชการ