D-Vote เผยส่วนใหญ่หนุนแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท หากไม่กู้เงิน

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท โพล ความเห็น

ม.ศรีปทุม และ D-Vote เปิดผลโพลเรื่องแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เผยกลุ่มตัวอย่าง 49.53% สนับสนุนโครงการ หากทำได้โดยไม่ต้องกู้เงิน พร้อมเผย คนอยากใช้เงินดิจิทัล “ใช้จ่ายประจำวัน-ใช้หนี้-ซื้อของที่อยากได้” มากสุด

วันที่ 28 ตุลาคม 2566 มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ร่วมกับดีโหวต (D-vote) เปิดเผยผลการสำรวจในประเด็น “คุณสนับสนุนให้มีโครงการเงินดิจิทัล 10000 บาทหรือไม่?” โดยสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 23 ต.ค. 2566 จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกช่วงอายุ ภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และระดับรายได้ทั่วประเทศ จำนวน 1,158 ตัวอย่าง

จากผลการสำรวจ พบว่า

  • ร้อยละ 49.53 ระบุว่า “สนับสนุน หากสามารถทำได้โดยไม่ต้องกู้เงิน”
  • ร้อยละ 33.86 ระบุว่า “สนับสนุน แม้ต้องกู้เงินมาทำก็ตาม”
  • ร้อยละ 12.09 ระบุว่า “ไม่สนับสนุน ไม่ว่าจะกู้หรือไม่กู้เงินมาทำก็ตาม”
  • ร้อยละ 4.52 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”

โดยเส้นของระดับรายได้ที่มีแนวโน้มสนับสนุนโครงการฯ อยู่ที่ผู้มีรายได้น้อยกว่า 45,000 บาท

Advertisment

และแบ่งผู้สนับสนุน/ไม่สนับสนุนโครงการฯ ตามผู้สนับสนุนพรรคต่าง ๆ (ระบุว่าได้เลือกพรรคดังกล่าวในการเลือกตั้ง 2566) ได้ดังนี้

สนับสนุน หากไม่กู้

  • พรรคก้าวไกล 53.32%
  • พรรคเพื่อไทย 50.59%
  • พรรคภูมิใจไทย 46.28%
  • พรรคพลังประชารัฐ 50.17%
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 49.66%
  • พรรคประชาธิปัตย์ 31.61%

สนับสนุน แม้ต้องกู้

  • พรรคก้าวไกล 33.90%
  • พรรคเพื่อไทย 38.79%
  • พรรคภูมิใจไทย 41.45%
  • พรรคพลังประชารัฐ 42.10%
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 13.48%
  • พรรคประชาธิปัตย์ 43.07%

ไม่สนับสนุน

  • พรรคก้าวไกล 8.51%
  • พรรคเพื่อไทย 7.86%
  • พรรคภูมิใจไทย 4.45%
  • พรรคพลังประชารัฐ 2.45%
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 36.86%
  • พรรคประชาธิปัตย์ 21.16%

หวังใช้จ่ายประจำวัน-ใช้หนี้-ซื้อของที่อยากได้

สำหรับคำถามในประเด็น “คุณอยากใช้เงินดิจิทัล 10000 บาท ทำอะไรมากที่สุด?” โดยผู้ตอบให้ความเห็นได้ตามความคิด แม้รัฐบาลจะไม่ได้ประกาศว่าให้ใช้ในประเภทนั้นหรือไม่ก็ตาม และเลือกได้สูงสุด 3 ข้อ พบว่า

  • ร้อยละ 56.14 ระบุว่า “ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหาร จ่ายค่าน้ำค่าไฟ”
  • ร้อยละ 39.32 ระบุว่า “ชำระหนี้”
  • ร้อยละ 30.75 ระบุว่า “ซื้อของที่อยากได้”
  • ร้อยละ 23.24 ระบุว่า “ลงทุน หรือสร้างธุรกิจ”
  • ร้อยละ 18.91 ระบุว่า “นำเงินดิจิทัลไปแลกเป็นเงินสด (แม้จะต้องถูกเก็บค่าแลกก็ตาม)”
  • ร้อยละ 16.36 ระบุว่า “ซื้ออุปกรณ์ทำงาน เช่น ปุ๋ย เครื่องจักร คอมพิวเตอร์”
  • ร้อยละ 8.74 ระบุว่า “ท่องเที่ยว”
  • ร้อยละ 6.50 ระบุว่า “รวมเงินกับคนอื่น ๆ มาพัฒนาชุมชน เช่น สร้างแหล่งน้ำ”

สำหรับคำถามในประเด็น “หากรัฐเปิดให้นำเงิน 10,000 ของคุณไปรวมกับคนอื่น บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ เพื่อให้ได้ก้อนที่ใหญ่มากขึ้นได้ คุณมีแนวโน้มจะทำหรือไม่?”

  • ร้อยละ 40.23 ระบุว่า “ทำ จะรวมกับครอบครัว เช่น นำไปสร้างธุรกิจ สร้างบ้าน”
  • ร้อยละ 21.97 ระบุว่า “ไม่ทำ จะใช้คนเดียว”
  • ร้อยละ 15.54 ระบุว่า “ทำ จะรวมกันภายในชุมชน เช่น นำไปทำโครงการในชุมชน สร้างวิสาหกิจชุมชน”
  • ร้อยละ 14.96 ระบุว่า “ทำ จะรวมกับเพื่อนหรือหุ้นส่วน เช่น นำไปสร้างธุรกิจ”
  • ร้อยละ 7.31 ระบุว่า “ไม่รู้/ไม่แน่ใจ”

Advertisment

ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักโพลศรีปทุม-ดีโหวต ชี้ว่าจุดเริ่มต้นความสำเร็จของโครงการรัฐบาลคือการฟังเสียงและตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของประชาชนแต่ละกลุ่มให้ได้มากที่สุด ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นแนวทางที่อาจสามารถลดปริมาณการกู้ได้ เช่น การแบ่งเฟส

โดยให้เฟสแรกเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000-50,000 บาท เพราะคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะนำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่ขาด และทำให้เกิดตัวคูณทางเศรษฐกิจก่อนได้ระดับหนึ่ง

และเฟสสองให้กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า โดยกลุ่มนี้อาจกำหนดหรือสนับสนุนให้ใช้ในการลงทุนหรือการรวมกลุ่มกัน เพื่อลดการใช้จ่ายกับสิ่งที่หาซื้อได้อยู่แล้วจนกลายเป็นเพียงการออมเงินที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถใช้เพื่อสนับสนุนการจัดการข้อกำหนดต่าง ๆ รวมถึงการวัดผลตัวคูณทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้ สามารถทำได้ง่ายและโปร่งใส