กอบศักดิ์ มองจีดีพีปี’67 โตได้ 3-4% ชี้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงสูง แนะประคองตัว

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กอบศักดิ์ ภูตระกูล

“กอบศักดิ์” ธนาคารกรุงเทพ มองเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้ 3-4% ชี้เศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงสูง เน้นประคองตัวแนะค่อยเหยียบคันเร่งโตปี 2568 ด้านดอกเบี้ยโลกทยอยลด-เงินบาทเริ่มมีเสถียรภาพ ย้ำนโยบายดิจิทัลวอลเลตมาถูกทางหลังใช้ พ.ร.บ. มองโปร่งใส-ตรวจสอบได้ คาดสร้างหนี้สาธารณะเพิ่ม 2-3%

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2567 ขยายตัวที่ระดับ 3-4% แม้ว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่ถือว่าดีแล้ว เนื่องจากมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงสูง โดยในยุโรปเศรษฐกิจค่อนข้างแย่ ทั้งเยอรมันและอังกฤษ รวมถึงจีนที่ยังมีปัญหา ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และสงครามยังไม่จบ ดังนั้น มองว่าการขยายตัว 3-4% ซึ่งรวมปัจจัยหนุนดิจิทัลวอลเลตถือว่าดีแล้ว

“ปีหน้าไม่ใช่ปีที่เอาเป็นเอาตายกับการเติบโต เพราะมองว่า 3-4% ถือว่าดีแล้ว เปรียบเหมือนมรสุมกำลังมาเราควรอยู่ในบ้าน ขณะที่เรากำลังรอมรสุมผ่านไป เราก็ประคองตัว และในครึ่งหลังของปี 2567 น่าจะเริ่มมีข่าวดี ดังนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องเน้นในเรื่องของการเติบโตของเศรษฐกิจมากนัก ควรดูแลปัจจัยภายประเทศ ไม่ต้องไปเอาเป็นเอาตายตั้งแต่ต้นปี 2567 แต่ในปี 2568 ค่อยไปเหยียบคันเร่งให้เต็มที่”

อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะมีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น ภายหลังจากธนาคารกลางต่างประเทศจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เช่น ธนาคารกลางออสเตรเลีย และแคนาดา รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทยอยลดดอกเบี้ยช่วงปลายปี ซึ่งเป็น Sentiment ต่อตลาด เนื่องจากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่างที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดสามารถเริ่มขับเคลื่อนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) ของไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) จะยังคงอยู่ในระดับเดิม ไม่ได้ปรับลดลงเหมือนดอกเบี้ยต่างประเทศ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งสัญญาณในการปรับนโยบายเข้าสู่ระดับปกติ ซึ่งระดับดังกล่าวถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ประกอบกับนโยบายดิจิทัลวอลเลตของรัฐบาลที่จะมาในช่วงปี 2567 ทำให้ ธปท.ไม่มีความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด

“ดอกเบี้ยไทยปี 2567 จะไม่ได้ปรับลดลง แต่ดอกเบี้ยโลกจะปรับลดลง เพราะระดับนี้ถือว่าเหมาะสม และหากมาตรการดิจิทัลวอลเลตเข้ามา ยิ่งไม่มีความจำเป็นในการปรับลด และในช่วงต่อไปความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน จะเกิดการแครี่เทรด ทำให้เงินไหลเข้าสหรัฐ เงินดอลลาร์จะแข็งค่า และเงินสกุลเยนจะอ่อน ส่วนเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน แต่คาดว่าน่าจะมีเสถียรภาพสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นเช่นกัน”

ดร.กอบศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีของมาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาทของรัฐบาลที่จะมีการออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงินในวงเงินกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น มองว่า รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว เพื่อให้การทำนโยบายอย่างตรงไปตรงไม่ ไม่ลึกลับซับซ้อน เกิดความโปร่งใส และมีผู้ตรวจสอบ เนื่องจากเป็นการกู้และใช้เงินเป็นจำนวนมากถึงเกือบ 6 แสนล้านบาท ดังนั้น เรื่องการโปร่งใส-ตรงไปตรงมา-ตรวจสอบได้ทั้งในส่วนของการเงินทุนและการใช้เงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

อย่างไรก็ดี โครงการดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ดังกล่าว คาดว่าจะก่อหนี้สาธารณะเพิ่มราว 2-3% แต่คงไม่ถึงกับไปกระทบให้ถูกปรับลดเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยแต่อย่างใด

“ผมว่าการออก พ.ร.บ.เงินกู้เกือบ 6 แสนล้านบาท ถือว่ามาถูกทางแล้ว เพราะการไม่ออก พ.ร.บ. และไม่ผ่านสภา ไม่มีคนเช็กและตรวจสอบ จะทำให้คนเกิดความกังวลใจ เพราะจากเดิมที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะนำมาจากไหน กู้จากธนาคาร หรืออื่น ๆ ซึ่งเมื่อมี พ.ร.บ.ก็จะเป็นการปกป้องตัวเองของรัฐบาลด้วย คำถาม ก็คือทำเสร็จจะเกิดอะไรขึ้น ผมว่ากว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็คงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำเพิ่มเติม คือ อยากให้ทำวีซ่าฟรีเพิ่ม และทำเพิ่มในประเทศอินเดีย”

สำหรับแผนงานของธนาคารกรุงเทพในปี 2567 นั้น ธนาคารยังคงเน้นในส่วนของธุรกิจรายใหญ่ และธุรกิจต่างประเทศ โดยในส่วนของธุรกิจขนาดใหญ่นั้นน่าจะมีการขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนหรือซื้อกิจการต่าง ๆ หลังธุรกิจในประเทศต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ธุรกิจต่างประเทศของธนาคารยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภายหลังการซื้อธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซีย

“ปีหน้าเรายังเน้นลูกค้ารายใหญ่ ต่างประเทศ และกลุ่มลูกค้าระดับบน โดยลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการลงทุนเราจะช่วย เพราะในอีก 1 ปีข้างหน้า ดอกเบี้ยที่สูงในช่วงที่ผ่านมา จะทำให้หลาย ๆ ประเทศ และหลาย ๆ บริษัทไปต่อไม่ได้ หรือเข่าอ่อน ซึ่งเป็นโอกาสของเราในการเข้าไปช่วยลูกค้าซื้อกิจการ รวมถึงธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซีย ยังคงเป็นกำลังหลักให้เรา ซึ่งในปีก่อนสร้างกำไรให้เราหลายพันล้านบาท และคาดว่าในปีนี้ก็เช่นกัน”