
“กอบศักดิ์” ประเมินเศรษฐกิจไทยยังโตกว่า 3% แม้ส่งออกชะลอ แต่การท่องเที่ยว-ลงทุนต่างประเทศหนุน เผย กนง.ขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ย้ำจับตาเศรษฐกิจจีนชะลอ-การบริโภคทรุด หวั่นเกิด “ราชินีฟองสบู่” หลังบริษัทยักษ์อสังหาริมทรัพย์เริ่มสั่นคลอน พร้อมแนะ 4 ปัจจัยหนุนโอกาสเอสเอ็มอี
วันที่ 13 กันยายน 2566 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทยและผลกระทบต่อเอสเอ็มอี” ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า มองว่าเป็นการเตรียมเข้าสู่ Phase ใหม่ของเศรษฐกิจไทย หลังจากอยู่ในช่วงโควิด-19 มานาน 3 ปี หลังจากนี้จะเป็นช่วงที่เข้าสู่ “New Normal” ของจริง โดยไทยและภาคธุรกิจจะต้องปรับตัว
ทั้งนี้ แม้ว่าตัวเลขการส่งออกเดือนล่าสุดจะออกมาชะลอตัวอยู่ที่ -5% แต่หากทองคำจะเหลือ -4.5% และหากหักเรื่องของการนำเข้าน้ำมันจะเหลือหดตัวเพียง 0.5% ถือว่าทรงตัว เมื่อเทียบกับประเทศจีนหดตัว -14% เชื่อว่าการส่งออกของไทยน่าจะประคองตัวและวิ่งต่อไปได้ในปี 2567

ขณะที่การท่องเที่ยวที่มีจำนวน 40 ล้านคน หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพี หรือเทียบเท่ากับ 4 ล้านคน เท่ากับจีดีพี 1% ซึ่งในปีนี้นักท่องเที่ยวคาดจะเข้ามาเพิ่มจาก 11 ล้านคน เป็น 29 ล้านคน ดังนั้น จีดีพีจะขยายตัวราวกว่า 4% แต่คาดว่าจะขยายตัวได้จริงประมาณกว่า 3% และในปี 2567 คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีก 7-8 ล้านคน คิดเป็นจีดีพี 2-3% ถือว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยแม้ว่าส่งออกชะลอ แต่มีภาคการท่องเที่ยวเข้ามาสนับสนุน และไทยยังสามารถดึงดูดนักลงทุนได้อีก จากข้อมูลพบว่าจีนมีการขอส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงสุดในรอบ 10 ปี
ดังนั้น ไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจ และปัญหาเงินเฟ้อก็ไม่น่าห่วง เพราะเริ่มทยอยลดลงตามกรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งที่ 0.25% ต่อปี จาก 2.25% เป็น 2.50% ถือว่าเป็นอัตราที่ยอมรับได้จากภาคธุรกิจ หากเทียบต่างประเทศ เช่น สหรัฐอยู่ที่ 6% ละติน 12% อย่างไรก็ดี การต่อสู้เงินเฟ้อของสหรัฐเริ่มใกล้จบ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยเริ่มถึงจุดสิ้นสุด และหลังจากนี้อีก 9 เดือนจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“การส่งออกแม้จะตกลง แต่ตอนนี้เริ่มนิ่ง การท่องเที่ยวแม้ว่าจีนจะมองว่ามาไม่เยอะ แต่ชาติอื่นยังคงเข้ามาทั้งอินเดีย มาเลเซีย รัสเซีย เป็นต้น และแม้ว่านักท่องเที่ยวจีนไม่มา แต่จะเห็นตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง (FDI) ของจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 จากเดิมเป็นญี่ปุ่น เฉพาะแค่ไตรมาสเดียวอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าทั้งปีน่าจะแตะ 1 แสนล้านบาทได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าไทยยังน่าสนใจและเติบโตได้”
นายกอบศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ต้องจับตามมองคือ เศรษฐกิจจีนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากทุกประเทศต้องเกิดวิกฤต และจีนเองไม่เคยมีวิกฤตมาเลยในช่วง 30 ปี ซึ่งอาจจะมีการสะสมของปัญหา สะท้อนได้จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการสร้างตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งราคาเพิ่มเป็น 7 เท่า มีการเติบโต 700% และหลายที่เริ่มแสดงอาการเป็นหนี้เสีย ไม่ใช่เฉพาะกรณีเอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นรายใหญ่อันดับ 10
แต่ยังรวมถึงบริษัทคันทรี การ์เดน (Country Garden) อสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ราคาหุ้นร่วงจาก 16 บาท เหลือ 1 บาท หากเทียบไทยเกิดฟองสบู่ ในจีนจะเป็นราชินีฟองสบู่ และยังมีสัญญาณบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้อีก 10 บริษัท
นอกจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจจีน ซึ่งจากเดิมจะต้องขยายตัวเฉลี่ยไตรมาสละ 2% เพื่อให้ภาพรวมทั้งปีขยายตัวได้ 8% แต่ปัจจุบันจีดีพีจีนขยายตัวเพียง 0.8% สะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถวิ่งได้ราว 3% จากเดิมที่เคยวิ่งได้ 7-8% ดังนั้น ที่ผ่านมาการลงทุนจะอยู่ภายใต้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 7-8% แต่ปัจจุบันไม่สามารถขยายตัวได้ตามกรอบ ส่งผลต่อดีมานด์การบริโภคของจีน โดยดูได้จากตัวเลขการนำเข้าที่หดตัว -14% สะท้อนว่าจีนไม่ได้บริโภค ซึ่งอาจจะกระทบต่อไทยได้
“แม้เศรษฐกิจไทยมองว่าจะไปได้ แต่จะมีปัญหาที่ติดปลายน่วมให้เราได้กังวล แต่เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองคือ เศรษฐกิจจีนที่จะมีปัญหา โดยเราต้องดูว่าทางการเขาจะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น”
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะต้องเตรียมตัวรับมือ 4 เรื่องสำคัญที่จะเกิดการเปลี่ยนในอนาคต ได้แก่
1.การปรับตัวในในยุค Industrial Revolution 4.0 ที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเอสเอ็มอีจะต้องปรับตัวให้ทัน และนำเข้ามาปรับใช้เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
2.ร่วมเป็น Supply Chain ใหม่ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐที่จะรุนแรงขึ้น จะนำมาสู่โอกาสใหม่ของอาเซียน โดยคาดว่าการลงทุนจะไหลเข้าสู่ประเทศในอาเซียนมากขึ้น และเชื่อว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าอาเซียนจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งด้านการลงทุนเศรษฐกิจและท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของอาเซียนได้
3.โอกาสของภูมิภาคเอเชียและอาเซียน จากความเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเจริญขยายสู่หัวเมืองใหญ่ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีโอกาสในการขายสินค้าและบริการทั้งในและต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น
4.มาตรการใหม่ของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และมาตรการการใช้แรงงาน รวมทั้งมาตรการทางการเงิน ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับมาตรการต่าง ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
- วิกฤตอสังหาฯในจีน อาจลุกลามถึง “มาเลเซีย”
- เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจจีน จากวิกฤตอสังหาฯ สู่ปัญหาเศรษฐกิจ
- นักเศรษฐศาสตร์รุมหั่นคาดการณ์ GDP จีน มองปัจจัยลบรุมเร้าไม่จบง่าย
- อัพเดตสถานการณ์ “คันทรี่ การ์เดน” ยักษ์อสังหาฯจีน หลังขอยืดเวลาชำระหนี้
- บริษัทอสังหาฯจีนผิดนัดชำระหนี้ไปแล้วกว่า 68% ส่วนที่เหลือ 32% เสี่ยงจะไม่รอด