”ทีคิมเอ็ม“ ท้าชนเจ้าตลาด ดึง “ชาติชาย” อดีต ผอ.ออมสิน นั่งที่ปรึกษาฯ ขยายธุรกิจ ‘สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์’ ตั้งเป้าขึ้นท็อป 5 ใน 3 ปี พอร์ตสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เจาะลูกค้า TQM ที่มี 4 ล้านราย ปี’67 เริ่มปล่อยกู้ใหม่ 2,000 ล้านบาท รุกช่องทางขายสาขาทีคิวเอ็ม 95 แห่งทั่วประเทศ-จุดบริการในตำบลครอบคลุม 3,000 จุด พร้อมบริการสินเชื่อ Delivery Service ความหวังเข็นเข้าตลาดหุ้น
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM เปิดเผยว่า ปัจจุบันภายใต้ TQMalpha ประกอบด้วย 14 บริษัท อยู่ในธุรกิจ 3 กลุ่มหลักคือ 1.ธุรกิจประกัน 2.ธุรกิจการเงิน และ 3.ธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม โดยมีฐานลูกค้ารวมทั้งหมด 4 ล้านราย มีแผนดำเนินงานที่ต้องการให้บริการลูกค้าภายใต้นโยบาย One Customer Mutiple Product
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บุคคลนามสกุลดัง “ภัทรประสิทธิ์” ถูกฟ้องล้มละลาย
โดยในกลุ่มธุรกิจการเงินเรือธงสำคัญคือ บริษัท อีซี่ เลนดิ้ง จำกัด ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจมาแล้ว 2 ปี ในการปล่อยสินเชื่อชำระเบี้ยประกันให้กับลูกค้า TQM ปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 2,700 ล้านบาท มีจำนวนลูกค้ากว่า 2 แสนราย ช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.66) ได้ปล่อยสินใหม่ไปแล้วกว่า 1,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
และเพื่อตอบความต้องการของลูกค้าประกันรถยนต์ของ TQM ที่มีกว่า 1 ล้านราย จึงได้ขยายการบริการให้สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์เพิ่มเติมหลังจากได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจมาเรียบร้อยแล้ว โดยจะสร้างแบรนด์บริการทางการเงินเป็น “หมีเงิน” ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นกันเองเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ประธานที่ปรึกษาบริษัท อีซี่ เลนดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ปี 2566 สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ มีมูลค่า 315,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 38% หรือจากระดับ 226,000 ล้านบาท เมื่อเทียบปี 2565 โดยจะเห็นได้จากธนาคารพาณิชย์ตั้งบริษัทลูกน็อนแบงก์มาขยายพอร์ตงานในตลาดนี้มากขึ้น เพื่อแข่งขันและผ่อนคลายกฎเกณฑ์จากการถูกกำกับโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ของ TQM เบื้องต้นจะโฟกัสรถอายุประมาณ 4-15 ปี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 ล้านคัน จากทั้งระบบ 19 ล้านคัน โดยมีแผนเจาะลูกค้าในกลุ่มไม่โอนเล่มทะเบียนรถ (เล่มทะเบียนรถเก็บไว้กับ TQM) เพื่อลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาไปกรมขนส่งและไม่ต้องจ่าย VAT ที่ 7% หากส่งข้อมูลครบวันนี้ วันต่อมาอนุมัติสินเชื่อ และวันถัดไปรับเงินได้เลย
โดยเฉลี่ยลูกค้าต่อรายจะปล่อยสินเชื่อตั้งแต่ 2 แสนบาทต่อคัน ไปจนถึง 1 ล้านบาทต่อคัน โดยภายใน 3 ปี หรือภายในปี 2569 “หมีเงิน” ตั้งเป้าจะขึ้นเป็นท็อป 5-6 ในธุรกิจจำนำทะเบียนรถยนต์ โดยมียอดปล่อยสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท และมีแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ในปีแรกหรือในช่วงปี 2567 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท จำนวนลูกค้า 10,000 ราย จากฐานลูกค้า TQM ที่มี 4 ล้านราย ซึ่งเป็นลูกค้าประกันรถยนต์ 1 ล้านราย โดยสิ้นปี 2567 จะมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท แยกเป็นสินเชื่อชำระเบี้ยประกัน 50% และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 50% ส่วนในปี 2568 พอร์ตสินเชื่อรวมจะกระโดดเป็น 7,000 ล้านบาท
โดยการแข่งขันด้านดอกเบี้ยจะคิดอัตราดอกเบี้ยลูกค้าแต่ละรายตามอายุของรถ ยี่ห้อรถ และรุ่นรถ ถ้าเป็นรถใหม่ ๆ จะคิดดอกเบี้ยกว่า 10% กลาง ๆ จากเกณฑ์ของแบงก์ชาติที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 22% ต่อปี แบบลดต้นลดดอก
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่มีหนี้เสีย (NPL) เลย จึงไม่ต้องตั้งสำรองลูกหนี้ ขณะเดียวกันการขยายงานสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ มีเป้าหมายเอ็นพีแอลไม่ให้เกิน 3% ซึ่งจากการบริหารธนาคารออมสินควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดีไม่เกิน 2% มาโดยตลอด และช่วง 2 ปีที่ยังไม่ได้เริ่มธุรกิจจำนำทะเบียนรถก็ได้มีการเก็บลูกค้า TQM ที่มีประวัติดีไว้ด้วย และทั้งสองผลิตภัณฑ์เป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันอีกด้วย จึงไม่เป็นกังวล”
ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มว่า หมีเงินพร้อมให้บริการทันทีที่สาขาของ TQM กว่า 95 แห่งทั่วประเทศ โดยสาขาของ TQM จะเป็นการให้บริการทั้งประกันและสินเชื่อ ขณะเดียวกันก็สามารถรับบริการทางช่องทางเทเลเซลล์ของ TQM ที่มีพนักงานพร้อมให้บริการ 4,000 ราย และสามารถใช้บริการได้ที่จุดบริการในตำบลที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคประเทศอีกกว่า 3,000 จุด โดยมีแผนใน 3 ปีข้างหน้าจะขยายเพิ่มเป็น 8,000 จุด
นอกจากนี้จะมีการให้บริการสินเชื่อในรูปแบบ Delivery Service ลูกค้าที่ไม่สะดวกที่จะเดินทาง
มาใช้บริการ พร้อมไปให้บริการถึงบ้านลูกค้า เนื่องจาก TQM มีพนักงานบริการด้านประกันที่ไปพบลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งโมเดลนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน จากการไม่ต้องขยายสาขาเพิ่มเติม
