
ตลาดเงินผันผวน ท่ามกลางการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ขณะที่ลาดกังวลว่า เฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐค่อนข้างแข็งแกร่ง และมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาสูงอีกครั้ง
วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน -1 ธันวาคม 2566 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (27/11) ที่ระดับ 35.27/28 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (27/11) ที่ระดับ 35.48/49 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยเป็นผลมาจากการอ่อนลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐภายหลังจากที่เมื่อคืนวันศุกร์ ผ24/11) เอสแอนด์พีโกลบอล ได้มีการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในเดือนพฤศจิกายน โดย PMI ภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 49.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 50 ในเดือนตุลาคม ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.8 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 50.6 ในเดือนตุลาคม
ขณะที่ในวันจันทร์ (27/11) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังได้ออกมารายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 5.6% สู่ระดับ 679,000 ยูนิตในเดือนตุลาคม ต่ำกว่าที่นักวิเคราห์คาดการณ์ที่ระดับ 723,000 ยูนิต จากระดับ 719,000 ยูนิตในเดือนกันยายน นอกจากนี้ราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่ลดลง 17.6% สู่ระดับ 409,300 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม
ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างมากเทียบเงินสกุลหลักในวันพุธ (29/11) หลังดัชนีดอลลาร์ร่วงลงที่ระดับ 102.7 ซึ่งระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนครึ่ง และเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 1 ปี โดยได้รับแรงกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่หนุนการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
โดยนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในขณะนี้อยู่ในระดับที่เข้มงวดมากเพียงพอแล้ว พร้อมกับส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หากเงินเฟ้อยังคงปรับตัวลงเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ขณะที่นายออสแทน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังปรับตัวลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 พร้อมกับกล่าวว่าเขารู้สึกกังวลหากเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเกินไป
อย่างไรก็ดีในวันพฤหัสบดี (30/11) ค่าเงินดอลลาร์ได้เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง หลังการส่งสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกันของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีกกลุ่มซึ่งทำให้ตลาดกังวลว่า เฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐค่อนข้างแข็งแกร่ง และมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง
โดยนายโธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า เขาไม่มั่นใจว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% หรือไม่ และเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหากเงินเฟ้อดีดตัวขึ้น ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงได้รับแรงหนุนต่อเนื่องในวันศุกร์ (1/12) แม้การเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสอดคล้องการคาดการณ์ ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม
อนึ่งดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงานปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์จากระดับ 3.4% ในเดือนกันยายน และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ทรงตัวในเดือนตุลาคมหรือปรับตัวขึ้น 0.0% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของที่ระดับ 0.1% จากระดับ 0.4% ในเดือนกันยายน
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญปรับตัวขึ้น 3.5% ในเดือนตุลาคม เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์จากระดับ 3.7% ในเดือนกันยายน และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนตุลาคม สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ จากระดับ 0.3% ในเดือนกันยายน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์โดยปรับตัวแข็งค่าลงอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เปิดตลาดในวันจันทร์ (27/11) จากการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและปรับตัวแข็งค่าอย่างมากในวันพุธ (29/11) ที่ระดับ 34.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังจากที่ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานขึ้นเหนือระดับ 2,040 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนที่จะค่อย ๆ เริ่มอ่อนค่าลงในเวลาถัดมา
ในช่วงบ่ายวันพุธ (29/11) นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการเปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี นอกจากนั้นทาง กนง.ยังประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แม้ภาคการส่งออก และการผลิตที่เกี่ยวข้องจะชะลอลง โดยคาดว่าในปี 2567 และ 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างสมดุลขึ้น จากอุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของภาคการส่งออก
ทั้งนี้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเหนือระดับ 35.20 ในวันศุกร์ (1/12) จากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งกระแสเงินทุนไหลออก หลังต่างชาติขายหุ้นกว่า 3,700 ลบ. ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ ทำให้ตลาดกังวลว่า รัฐบาลจีนต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์นี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 34.54-35.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (1/12) ที่ระดับ 35.08/10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดวันจันทร์ (27/11) ที่ระดับ 1.0947/48 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24/11) ที่ระดับ 1.0902/03 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ แม้สถาบันวิจันเศรษฐกิจของเยอรมนี (IFO) ได้เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีอยู่ที่ระดับ 87.3 ในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นจากระดับ 86.9 เมื่อเดือนตุลาคม แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 87.5
นอกจากนี้สำนักงานสถิติเยอรมนีรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 หดตัว 0.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการครั้งแรก โดยนางรูธ แบรนด์ หัวหน้าของสำนักงานสถิติเยอรมนี มีถ้อยแถลงว่าเศรษฐกิจเยอรมนีเผชิญกับการหดตัวเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ภายหลังจากผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงครึ่งแรกของปี
สำหรับการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ของ GDP ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่าหนึ่งปี แตะที่ 0.2% ค่าเงินยูโรยังได้รับแรงหนุนจากนายโยอาคิม เนเกิล ประธานธนาคารบุนเดสแบงก์ ได้ออกมาให้ความเห็นว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหากแนวโน้มเงินเฟ้อแย่ลง และ ECB ไม่ควรรีบผ่อนคลายนโยบายเร็วเกินไป หลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB ได้กล่าวว่า การต่อสู้ของ ECB เพื่อควบคุมการขยายตัวของเงินเฟ้อนั้นยังไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ดี ค่าเงินยูโรได้ลดแรงแข็งค่าลงในวันพฤหัสบดี (30/11) ภายหลังจากที่มีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนที่ต่ำกว่าคาด โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยดัชนี CPI ของยูโรโซนปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.9% ในเดือนตุลาคม และต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 2.7%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.6% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 4.2% ในเดือนตุลาคม และต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 3.9% โดยตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า
ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0877-1.1017 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (24/11) ที่ระดับ 1.0893/96 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (27/11) ที่ระดับ 149.11/12 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24/11) ที่ 149.63/64 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ จากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี Jibun Bank เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนพฤศจิกายนของญี่ปุ่นลดลงแตะระดับ 49.4 จากระดับ 50.0 ในเดือนตุลาคม บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่ภาคบริการแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งสัญญาณถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอ โดยผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตปรับตัวลดลงในเดือนพฤศจิกายน และกลุ่มผู้ผลิตยังปรับลดจำนวนพนักงานลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการขั้นต้นเดือนพฤศจิกายนของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 50.8 ปรับตัวขึ้นจากระดับ 50.6 ในเดือนตุลาคม แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นน้อยสุดในปีนี้ ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องต่อทั้งสัปดาห์โดยแตะระดับ 146.68 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ในวันพุธ (29/11) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐกับญี่ปุ่นจะหดแคบลง ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 146.65-149.67 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (24/11) ที่ระดับ 147.83/85 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ