เศรษฐกิจไทย ชะล่าใจไม่ได้ โตเพียงชั่วคราวแม้แจกเงิน

เศรษฐกิจไทย
คอลัมน์ : นอกรอบ
ผู้เขียน : KKP Research

“เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณโตช้า หากไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง” รายงานวิจัยฉบับล่าสุดของ KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินภัทร ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอและไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีมากนัก

เศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอกว่าที่เห็น

โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาชี้ว่าเศรษฐกิจไทยโตในระดับค่อนข้างต่ำที่ 1.5% ในขณะที่ GDP ในฝั่งการอุปสงค์โตได้ถึง 5.6% ความแตกต่างกันค่อนข้างมากของ GDP ฝั่งอุปสงค์และอุปทานนำมาสู่ข้อสงสัยของหลายฝ่ายว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรกันแน่

การบริโภคของ GDP ไตรมาส 3 โตสูงถึง 8% ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและภาคธนาคารชะลอการปล่อยกู้สินเชื่อภาคครัวเรือน KKP Research ประเมินว่าเมื่อพิจารณาประกอบกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ แล้ว การใช้จ่ายในประเทศน่าจะโตได้น้อยกว่าตัวเลขดังกล่าวมาก ภายใต้ข้อสังเกตดังต่อไปนี้

1.ยอดขายบ้านและรถยนต์ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเกิดจากทั้งรายได้ในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ช้า การปล่อยกู้ของสินเชื่อธนาคารที่ตึงตัวขึ้นมาก และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วทำให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น

2.ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาอ่อนแอต่อเนื่องสวนทางกับเลข GDP ในฝั่งการใช้จ่าย โดยในช่วงที่ผ่านมา ทิศทางกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างแย่ และมีจำนวนหุ้นที่ถูกปรับลดคาดการณ์รายได้ (earning) ลง มากกว่าจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการณ์รายได้ขึ้น ขณะที่กำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ลดลงมากกว่า 10% จากต้นปี 2566 ซึ่งลดลงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในช่วงที่ชะลอตัวมากกว่าฟื้นตัวได้ดี

3.อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (same store sale growth) ของบริษัทจดทะเบียนมีทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มของสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย และมีแนวโน้มปรับเป็นติดลบในไตรมาส 3 ปี 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

4.สินเชื่อในภาคธนาคารหดตัว สะท้อนว่าธนาคารพาณิชย์มีมุมมองที่ไม่ดีนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า

5.ผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปีที่ผ่านมา ภาษีมูลค่าหดตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง

จากทั้ง 5 ชุดข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจในประเทศไม่น่าจะขยายตัวได้ดีมากนัก โดยทั้งการบริโภคสินค้าคงทน สินค้าไม่คงทน และการลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งหมด

ปรับ GDP เพิ่มเป็น 3.7% เมื่อรวมผล Digital Wallet

แม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอและไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีมากนัก อย่างไรก็ดี KKP Research ก็ได้ปรับ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 3.7% ซึ่งมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจากการแจกเงินผ่าน digital wallet ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ 0.8% ของ GDP ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีหน้า 2.การท่องเที่ยวที่ยังคงฟื้นตัว ซึ่งคาดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 35 ล้านคนในปี 2567 และ 3.การส่งออกที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตามวัฏจักรการผลิตและการส่งออกโลก

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ายังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่รัฐบาลอาจไม่สามารถผลักดันมาตรการ digital wallet เพราะข้อจำกัดด้านการคลังและกฎหมาย ซึ่งในกรณีที่ไม่รวมผลจากมาตรการนี้ คาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะชะลอลงเหลือ 2.9% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการเติบโตในระยะยาวมาอย่างต่อเนื่อง

“แจกเงิน” กระตุ้นบริโภคชั่วคราว

ทั้งนี้หากนโยบาย digital wallet สามารถออกใช้ได้ตามที่รัฐบาลแถลงจะมีต้นทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท แต่ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับต้นทุน โดยประเมินตัวคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่ 0.3 เท่า ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ GDP ประมาณ 0.8% ในปี 2567

โดยผลดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีหน้าหากมีการออกใช้จริง และเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงอย่างมากหลังจากนั้น เนื่องจากสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ไทยแข่งขันในเวทีโลกได้ยากขึ้น มากกว่าประเด็นการลดลงของรายได้ชั่วคราว

นอกจากนี้ ผลกระทบด้านลบยังรวมไปถึงต้นทุนทางอ้อมต่อเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้น จากการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นจากการที่รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เพิ่มอีกด้วย

เศรษฐกิจโลกยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องในปีหน้า แม้มีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสขยายตัวได้ จากแรงสนับสนุนทั้งวัฏจักรการผลิต การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐ จากภาวะการย้อนกลับของโลกาภิวัตน์ และมาตรการกระตุ้นการลงทุนซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพของแรงงานปรับตัวดีขึ้น และน่าจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยที่ 2.0% สอดคล้องกับการส่งออกของประเทศในภูมิภาค

อย่างไรก็ตามได้มีการปรับลดตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 2567 จาก 38 ล้านคน เหลือ 35 ล้านคนในปีหน้า จากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวกลับมาได้ช้ากว่าที่คาด ซึ่งเกิดจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง และความกังวลด้านความปลอดภัยที่ทำให้คนจีนลดความสนใจในการมาท่องเที่ยวประเทศไทย

เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยสูง

ทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างอ่อนแอ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 1.7% โดยในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อไทยลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มเติบโตติดลบ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มคงที่ ซึ่งเงินเฟ้อในไทยถือว่าปรับตัวลดลงเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลกต่างจากหลายประเทศที่เงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงยาวนาน

ในขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจส่งสัญญาณทิศทางไม่ชัดเจน ทำให้การประเมินเศรษฐกิจเพื่อดำเนินนโยบายทำได้ยากขึ้น โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงดอกเบี้ยที่ 2.5% ไปตลอดทั้งปี 2567 ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงที่นโยบายการเงินไทยจะอยู่ในภาวะที่เริ่มตึงตัวมากเกินไป

โดยปัจจุบันดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยสูงขึ้นที่ประมาณ 2.5% ซึ่งมากกว่าสหรัฐประมาณ 2% ในกรณีที่นโยบาย digital wallet ไม่เกิดขึ้นโอกาสที่ ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะสูงขึ้น

ประเด็นสุดท้าย การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราว แต่มีส่วนสำคัญจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยตกต่ำลงต่อเนื่อง โดยศักยภาพการเติบโตของไทยปัจจุบันอาจลดลงเหลือประมาณ 2.4% ตามแนวโน้มการเติบโตใหม่

ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแต่จำเป็นที่จะต้องมีนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวเพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน