วิจัยกรุงศรีฯ ประเมินมูลหนี้มาตรการแก้หนี้เรื้อรังอยู่ที่ 1.2-1.8 หมื่นล้านบาท

แก้หนี้ หนี้นอกระบบ

วิจัยกรุงศรีฯ เผยมาตรการแก้หนี้เรื้อรังของ ธปท.คาดเม็ดเงินมูลหนี้ราว 1.2-1.8 หมื่นล้านบาท หรือราว 6 แสนบัญชี เฉลี่ยมูลหนี้ 1-2 หมื่นบาทต่อราย ชี้แม้มีมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ระบุ 59% เป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ด้านความเชื่อมั่นภาคการผลิตของไทยมีสัญญาณอ่อนแอ

วันที่ 19 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดมาตรการแก้หนี้เรื้อรังที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้ จะช่วยแก้ไขมูลหนี้ได้ราว 1.2-1.8 หมื่นล้านบาท โดยลูกหนี้ที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt : PD) ที่เป็นกลุ่มเปราะบางจะได้รับความช่วยเหลือให้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้นและลดภาระดอกเบี้ย

โดยลูกหนี้ที่เข้าข่ายเรื้อรังคือ ลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียนที่ไม่เป็น NPL และชำระดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นที่ชำระมาทั้งหมดเป็นระยะเวลานาน ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ 1.ลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาหนี้เรื้อรัง (General PD) คือลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวมมาแล้ว 3 ปี แต่ไม่ถึง 5 ปี และ 2.ลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง (Severe PD) คือ ลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวมมาแล้ว 5 ปี และมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 20,000 บาท สำหรับลูกหนี้สถาบันการเงินและบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน หรือน้อยกว่า 10,000 บาท สำหรับลูกหนี้นอนแบงก์

เบื้องต้น ธปท.ประเมินมีลูกหนี้เข้าข่ายเรื้อรังอยู่ประมาณ 6 แสนบัญชี เฉลี่ยมูลหนี้บัญชีละ 10,000-20,000 บาท จะมีมูลหนี้ที่เข้ามาตรการดังกล่าวประมาณ 12,000-18,000 ล้านบาท ขณะที่การแก้ไขหนี้นอกระบบทั่วประเทศ กระทรวงมหาดไทยรายงานข้อมูลล่าสุดกลางเดือนมีนาคม มีลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้แล้ว 33,627 ราย สามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จ 21,978 ราย มูลหนี้ลดลง 899 ล้านบาท

ทั้งนี้ แม้มีความคืบหน้าและความพยายามในการแก้ปัญหาหนี้ แต่หนี้ครัวเรือนโดยรวมทั้งประเทศยังอยู่ในระดับสูงกว่า 16 ล้านล้านบาท หรือ 90.9% ของ GDP และในหนี้ครัวเรือนมีสัดส่วนถึง 59% เป็นสินเชื่อ Non-Productive (อาทิ สินเชื่อรถยนต์, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อเพื่อการเกษตร, บัตรเครดิต) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต

สำหรับข้อมูลจากเครดิตบูโรชี้ว่า NPL ของหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 1.05 ล้านล้านบาท และเป็นหนี้ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน (Special Mention : SM) อีก 0.6 แสนล้านบาท ในระยะต่อไปการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจำเป็นต้องใช้เวลาและอาจมีมาตรการด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการที่จะช่วยสร้างเสริมรายได้ให้แก่ลูกหนี้เพื่อให้มีความสามารถในการชำระหนี้ได้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมแผ่วลง สอดคล้องกับเครื่องชี้ภาคการผลิตของไทยที่ยังมีสัญญาณอ่อนแอต่อเนื่อง ในเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ปรับลดลงอีกครั้งสู่ 90.0 จาก 90.6 ในเดือนก่อน ปัจจัยลบจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพและปัญหาหนี้ครัวเรือนส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย

ขณะที่การส่งออกอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ยังอ่อนแอ ประกอบกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อการนำเข้าของตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังเผชิญปัญหาการแข่งขันด้านการตลาดสูงขึ้นจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ รวมถึงต้นทุนด้านราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น

เครื่องชี้ภาคการผลิตของโลกซึ่งสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ในเดือนกุมภาพันธ์ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากการปรับขึ้นต่อเนื่องและอยู่สูงกว่าระดับ 50 (ขยายตัว) เป็นเดือนที่ 2 ที่ 50.3 จากเดือนก่อนที่ 50.0 เช่นเดียวกับ PMI ภาคการผลิตของอาเซียนที่ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับ 50.4 จากเดือนมกราคมที่ 50.3 นำโดยการขยายตัวในภาคการผลิตของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

ขณะที่ PMI ภาคการผลิตของไทยกลับมาปรับลดลงสู่ระดับ 45.3 จากเดือนก่อนที่ 46.7 โดยนับว่าอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศสำคัญในอาเซียน ทั้งนี้ ข้อมูลภาคการผลิตของไทยที่อ่อนแออาจสะท้อนการเติบโตของภาคส่งออกไทยยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากไม่สามารถได้รับผลประโยชน์จากภาคการผลิตของโลกที่กำลังทยอยฟื้นตัวในปัจจุบัน แม้ล่าสุดมูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนมกราคมจะเติบโตเกือบ 10% แต่มีมูลค่าเพียง 22.6 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่ามูลค่าเฉลี่ยรายเดือนในปี 2566 ที่ 23.7 พันล้านดอลลาร์